2010–2019
มองดูชายคนนี้!
เมษายน 2018


มองดูชายคนนี้!

ผู้หาวิธีที่จะมองดูชายคนนี้จะพบประตูสู่ปีติอันสูงสุดของชีวิตและพิมเสนเยียวยาความสิ้นหวังที่ชีวิตเรียกร้องต้องการมากที่สุด

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า มิตรสหายที่รัก ข้าพเจ้าขอบคุณที่ได้อยู่กับท่านในสุดสัปดาห์การประชุมใหญ่สามัญที่ยอดเยี่ยมนี้ ข้าพเจ้ากับแฮเรียตปลาบปลื้มใจกับท่านในการสนับสนุนเอ็ลเดอร์กองและเอ็ลเดอร์ซวาเรสและพี่น้องชายหญิงหลายคนที่ได้รับการเรียกใหม่อันสำคัญระหว่างการประชุมใหญ่สามัญครั้งนี้

ถึงแม้ข้าพเจ้าคิดถึงประธานโธมัส เอส. มอนสันเพื่อนรัก แต่ข้าพเจ้าก็รัก สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ศาสดาพยากรณ์และประธานของเรา รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน และที่ปรึกษาผู้ทรงเกียรติของท่าน

ข้าพเจ้าขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติเช่นกันที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกันอีกครั้งกับพี่น้องชายที่รักแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง

เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงและมีความสุขมากที่เป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ซึ่งมีชาย หญิง และเด็กหลายล้านคนที่เต็มใจ ยืนตรงไหนยกตรงนั้น—ในบทบาทหน้าที่หรือการเรียกใดก็ตาม—และพยายามสุดใจในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและบุตรธิดาของพระองค์เพื่อสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า

วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งเราเฉลิมฉลองอรุณรุ่งโรจน์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำให้สายรัดแห่งความตายขาด1 และชัยชนะที่ปรากฏออกมาจากอุโมงค์นั้น

วันอันสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์

เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าถามอินเทอร์เน็ตว่า “วันใดที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกมากที่สุด”

คำตอบมีทั้งน่าประหลาดใจและพิลึกไปจนถึงแหลมคมและชวนคิด ในบรรดาคำตอบเหล่านั้น มีวันก่อนประวัติศาสตร์ที่อุกาบาตชนคาบสมุทรยูคาทาน หรือเมื่อปี 1440 โยฮันน์ กูเทนแบร์กสร้างแท่นพิมพ์สำเร็จ และแน่นอนว่ามีวันหนึ่งในปี 1903 เมื่อสองพี่น้องตระกูลไรท์แสดงให้โลกเห็นว่าคนสามารถบินได้จริง

หากมีคนถามท่านด้วยคำถามเดียวกันนี้ ท่านจะพูดว่าอย่างไร

ในความคิดข้าพเจ้ามีคำตอบชัดเจน

เพื่อหาวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ เราต้องย้อนกลับไปในค่ำวันนั้นเกือบ 2,000 ปีก่อนในสวนเกทเสมนีเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงคุกเข่าสวดอ้อนวอนสุดพระทัยและทรงสละพระองค์เองเป็นค่าไถ่บาปของเรา นั่นคือช่วงเวลาของการเสียสละครั้งสำคัญและไม่มีขอบเขตของความทุกข์ทรมานอันหาที่เปรียบไม่ได้ทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณซึ่งแม้แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ยังทรงหลั่งพระโลหิตทุกรูขุมขน เพราะความรักอันล้ำเลิศ พระองค์ทรงสละทุกอย่างเพื่อเราจะได้รับทุกอย่าง การพลีพระชนม์ชีพอันสูงส่งของพระองค์ยากแก่การเข้าใจ จะรู้สึกได้ก็ด้วยใจและความคิดเท่านั้น เตือนใจเราให้นึกถึงบุญคุณอันล้นพ้นที่เราเป็นหนี้พระคริสต์สำหรับของประทานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

ต่อมาในคืนนั้น พระเยซูทรงถูกนำไปอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจทางศาสนาและการเมือง เขาเยาะเย้ย เฆี่ยนตี และพิพากษาพระองค์ให้รับความตายอันน่าอับอาย พระองค์ถูกแขวนอยู่บนกางเขนด้วยความเจ็บปวดจนท้ายที่สุด “สำเร็จแล้ว” 2 พระวรกายไร้พระชนม์ชีพถูกวางไว้ในอุโมงค์ที่ให้ยืมใช้ จากนั้น อรุณรุ่งของวันที่สาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพเสด็จออกจากอุโมงค์ในฐานะพระสัตภาวะผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ผู้ทรงรัศมีภาพด้วยแสงอันเรืองโรจน์และพระบารมี

มีหลายเหตุการณ์ตลอดประวัติศาสตร์ที่มีผลอย่างลึกซึ้งต่อชะตากรรมของประชาชาติและผู้คน แต่เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน เหตุการณ์เหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้กับความสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันอีสเตอร์แรกนั้น

สิ่งใดเล่าที่ทำให้การพลีพระชนม์ชีพอันไม่มีขอบเขตและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์—มีอิทธิพลมากกว่าสงครามโลก ภัยพิบัติร้ายแรง และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราจึงมีชีวิตได้อีก

คำตอบอยู่ในความท้าทายอย่างมหันต์สองประการที่เราท่านต้องเผชิญโดยไม่อาจผ่านพ้น

ประการแรก เราทุกคนต้องตาย ไม่ว่าท่านจะยังเยาว์วัย งดงาม แข็งแรง หรือระมัดระวังเพียงใด สักวันร่างกายท่านจะไม่มีลมหายใจ มิตรสหายและครอบครัวจะโศกเศร้าอาลัยท่าน แต่พวกเขาไม่สามารถนำท่านกลับมาได้

กระนั้นก็ตาม เนื่องจากพระเยซูคริสต์ ความตายของท่านจะเป็นเพียงชั่วคราว วันหนึ่งวิญญาณของท่านจะกลับมารวมกับร่างกายของท่าน ร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิตนี้จะไม่ตายอีกต่อไป3 และท่านจะดำเนินชีวิตในนิรันดร ไม่มีความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทางร่างกาย4

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเนื่องจากพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์และนำพระชนม์ชีพกลับคืนมาอีกครั้ง

พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์

พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อทุกคนที่ไม่เชื่อในพระองค์

พระองค์ทรงทำเช่นนี้แม้เพื่อคนเหล่านั้นที่เยาะเย้ย เสียดสี และสาปแช่งพระนามของพระองค์5

เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราสามารถอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า

ประการที่สอง เราทุกคนทำบาป บาปของเราจะกีดกั้นเราไปตลอดไม่ให้เราอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเพราะ “ไม่มีสิ่งที่ไม่สะอาดจะเข้าไปในอาณาจักรของพระองค์ได้”6

ส่งผลให้ชาย หญิง และเด็กทุกคนถูกตัดจากที่ประทับของพระองค์—จนกระทั่งพระเยซูคริสต์ พระเมษโปดกที่ไร้มลทิน ทรงเสนอพระชนม์ชีพเป็นค่าไถ่บาปของเรา เพราะพระเยซูไม่ทรงติดหนี้ความยุติธรรม พระองค์ทรงสามารถชำระหนี้ของเราและสนองตอบข้อเรียกร้องของความยุติธรรมให้จิตวิญญาณทั้งปวง รวมถึงท่านกับข้าพเจ้าด้วย

พระเยซูคริสต์ทรงจ่ายค่าบาปของเรา

บาปทั้งหมด

ในวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ พระเยซุู พระคริสต์ทรงเปิดประตูแห่งความตายและทรงกำจัดเครื่องกีดขวางที่กั้นไม่ให้เราผ่านไปสู่ห้องโถงศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตอันเป็นนิจ เนื่องจากพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ท่านกับข้าพเจ้าได้รับของประทานอันล้ำค่าที่สุดและไม่อาจประเมินราคาได้—ไม่ว่าอดีตของเราเป็นเช่นไร เราสามารถกลับใจและเดินตามเส้นทางที่นำเราไปสู่แสงสว่างและรัศมีภาพแห่งซีเลสเชียล รายล้อมด้วยบุตรธิดาที่ซื่อสัตย์ของพระบิดาบนสวรรค์

เหตุใดเราจึงชื่นชมยินดี

นี่คือสิ่งที่เราเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์อีสเตอร์—เราเฉลิมฉลองชีวิต!

เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราจะลุกขึ้นจากความสิ้นหวังอันเนื่องจากความตายและโอบกอดผู้ที่เรารัก ซับน้ำตาแห่งปีติอันท่วมท้นและความสำนึกคุณที่เต็มเปี่ยม เนื่องจากพระเยซูคริสต์ เราจะดำรงอยู่ในฐานะสัตภาวะนิรันดร์ ชั่วกัลปาวสาน

เนื่องจากพระเยซู พระคริสต์ บาปของเราไม่เพียงลบออกไปได้เท่านั้น แต่จะถูกลืมด้วย

เราจะเป็นผู้บริสุทธิ์และสูงส่ง

ศักดิ์สิทธิ์

เนื่องจากพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเป็นที่รักของเรา เราสามารถดื่มจากน้ำพุที่พลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรัดร์ได้ตลอดกาล7 เราจะพำนักได้ตลอดกาลในปราสาทของพระมหากษัตริย์นิรันดร์ในรัศมีภาพที่ไม่อาจจินตนาการได้และความสุขอันเพียบพร้อม

เรา “มองดูชายคนนี้” หรือไม่

นอกจากทั้งหมดนี้แล้ว มีหลายคนในโลกปัจจุบันที่ไม่ตระหนักหรือไม่เชื่อในของประทานอันล้ำค่าที่พระเยซูคริสต์ประทานแก่เรา พวกเขาอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และรู้เรื่องของพระองค์ว่าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ แต่พวกเขาไม่ได้มองพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเป็นอยู่จริง

เมื่อข้าพเจ้านึกถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้านึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดทรงยืนอยู่ต่อหน้าปีลาตเจ้าเมืองชาวโรมันแห่งแคว้นยูเดีย ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด

ปีลาตมองดูพระเยซูด้วยมุมมองที่จำกัดอยู่ในทางโลกเท่านั้น ปีลาตมีงานต้องทำและเกี่ยวข้องกับหน้าที่สำคัญสองเรื่องคือ เก็บภาษีให้โรมและรักษาความสงบ เวลานี้ที่ประชุมชาวยิวนำชายที่พวกเขาอ้างว่าเป็นอุปสรรคต่องานทั้งสองมาอยู่ต่อหน้าปีลาต8

หลังจากไต่สวนนักโทษ ปีลาตประกาศว่า“เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด”9 แต่เขารู้สึกว่าเขาต้องเอาใจผู้กล่าวหาพระเยซู ดังนั้นปีลาตจึงเลือกใช้ธรรมเนียมท้องถิ่นที่ยอมปล่อยนักโทษหนึ่งคนในช่วงเทศกาลปัสกา พวกเขาจะไม่ยอมให้ปีลาตปล่อยพระเยซูแทนโจรและกบฏบารับบัสหรือ10

แต่ฝูงชนที่ส่งเสียงเอ็ดอึงเรียกร้องให้ปีลาตปล่อยบารับบัสและตรึงกางเขนพระเยซู

“ตรึงทำไม?” ปีลาตถาม “เขาทำผิดอะไร?”

แต่พวกเขายิ่งร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน!”11

ความพยายามสุดท้ายที่จะทำให้ฝูงชนพอใจ ปีลาตสั่งให้คนของเขาโบยตีพระเยซู12 สิ่งที่พวกเขาทำนี้ ทำให้พระองค์หลั่งพระโลหิตและพระวรกายฟกช้ำ พวกเขาเยาะเย้ยพระองค์ สวมมงกุฎหนามที่พระเศียร และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง13

บางทีปีลาตอาจจะคิดว่าการทำเช่นนี้จะสร้างความพอใจให้ฝูงชนที่กระหายเลือด บางทีพวกเขาจะเวทนาพระองค์ “นี่แน่ะ เราพาคนนี้ออกมามอบให้พวกท่าน” ปีลาตกล่าว “เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขา … คนนี้ไงล่ะ!”14

พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระวรกายเป็นเนื้อหนัง ทรงยืนต่อหน้าผู้คนของเยรูซาเล็ม

พวกเขาเห็นพระเยซู แต่พวกเขาไม่ได้มองเห็นพระองค์อย่างแท้จริง

พวกเขาไม่มีดวงตาที่จะมองเห็น15

พูดในเชิงเปรียบเทียบ เราเองก็ได้รับเชิญให้ “มองดูชายคนนี้” ในโลกนี้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับพระองค์แตกต่างกัน ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณและสมัยปัจจุบันเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นพยานเช่นกัน นับว่าทรงคุณค่าและสำคัญยิ่งที่เราแต่ละคนจะรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้น เมื่อท่านไตร่ตรองพระชนม์ชีพและการปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูคริสต์ ท่านเห็นอะไร

ผู้หาวิธีที่จะมองดูชายคนนี้จะพบประตูสู่ปีติอันสูงสุดของชีวิตและพิมเสนเยียวยาความสิ้นหวังที่ชีวิตเรียกร้องต้องการมากที่สุด

เมื่อท่านถูกโอบล้อมด้วยโทมนัสและความโศกเศร้า มองดูชายคนนี้

เมื่อท่านรู้สึกหลงทางและถูกลืม มองดูชายคนนี้

เมื่อท่านสิ้นหวัง ถูกทอดทิ้ง สงสัย ได้รับความเสียหาย หรือพ่ายแพ้ มองดูชายคนนี้

พระองค์จะทรงปลอบโยนท่าน

พระองค์จะทรงรักษาท่านและประทานความหมายแก่การเดินทางของท่าน พระองค์จะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาให้ท่าน และทรงทำให้ใจท่านเปี่ยมด้วยปีติ16

พระองค์ประทาน “กำลังแก่คนอ่อนเปลี้ยและผู้ไม่มีพลังนั้นพระองค์ทรงให้มีเรี่ยวแรงมาก”17

เมื่อเรามองดูชายคนนี้ เราเรียนรู้จากพระองค์และพยายามดำเนินชีวิตไปในแนวเดียวกันกับพระองค์ เรากลับใจและพยายามขัดเกลาธรรมชาติวิสัยของเรา เติบโตทุกวันเพื่อเข้าใกล้พระองค์ทีละน้อย เราวางใจพระองค์ เราแสดงความรักที่เรามีต่อพระองค์โดยรักษาพระบัญญัติของพระองค์และดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรากลายเป็นสานุศิษย์ของพระองค์

จิตวิญญาณเราอิ่มเอิบด้วยแสงแห่งการขัดเกลาของพระองค์ พระคุณของพระองค์ยกระดับจิตใจเราภาระของเราเบาลง สันติสุขของเราลึกซึ้งขึ้น เมื่อเรามองดูชายคนนี้อย่างแท้จริง เรามีคำสัญญาของอนาคตที่เป็นพรซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและค้ำจุนเราผ่านการเดินทางที่คดเคี้ยวและลุ่มๆ ดอนๆ ในชีวิตเมื่อมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่ามีแบบแผนจากสวรรค์จุดต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างแท้จริง18

เมื่อท่านยอมรับการพลีพระชนม์ชีพของพระองค์ กลายเป็นสานุศิษย์ของพระองค์ และในที่สุด ไปถึงจุดจบของการเดินทางบนแผ่นดินโลก จะเกิดอะไรขึ้นกับความเศร้าเสียใจที่ท่านอดทนมาในชีวิตนี้

สิ่งเหล่านั้นจะหายไป

ความผิดหวัง การทรยศ การข่มเหง ที่ท่านเคยเผชิญเล่า

จะหายไป

ความทุกข์ทรมาน ความร้าวรานใจ ความผิดบาป ความอับอาย และความขมขื่นที่ท่านเคยผ่านมาเล่า

จะหายไป

จะถูกลืม

จะยังข้องใจหรือไม่ว่า “เราพูดถึงพระคริสต์, เราชื่นชมยินดีในพระคริสต์, เราสั่งสอนเรื่องพระคริสต์, เราพยากรณ์ถึงพระคริสต์ … เพื่อลูกหลานของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา”?19

จะยังข้องใจหรือไม่ว่าเราพยายามสุดใจเราที่จะมองดูชายคนนี้อย่างแท้จริง

พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติคือวันที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้า ทรงมีชัยชนะเหนือความตายและบาปเพื่อบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า วันสำคัญที่สุดในชีวิตของท่านและข้าพเจ้าคือวันที่เราเรียนรู้ที่จะ “มองดูชายคนนี้” เมื่อเราเห็นพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเป็นอยู่จริงเมื่อเรารับส่วนเดชานุภาพแห่งการชดใช้ของพระองค์ด้วยสุดใจและความคิดของเรา เมื่อเรารับปากว่าจะติดตามพระองค์ด้วยความกระตือรือร้นและความเข้มแข็งอีกครั้ง ขอให้เป็นวันที่เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดชีวิตเรา

ข้าพเจ้าฝากประจักษ์พยานและพรว่าเมื่อเรา “มองดูชายคนนี้” เราจะพบความหมาย ปีติ และสันติสุขในชีวิตบนโลกนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู โมไซยาห์ 15:23.

  2. ยอห์น 19:30.

  3. ดู แอลมา 11:45.

  4. ดู วิวรณ์ 21:4.

  5. ดู 1 โครินธ์ 15:21–23.

  6. 3 นีไฟ 27:19.

  7. ดู ยอห์น 4:14.

  8. ดู ลูกา 23:2.

  9. ยอห์น 18:38. เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินพระเยซู ปีลาตพยายามผ่านคดีนี้ไปให้เฮโรด อันทิปาส ถ้าเฮโรด ผู้สั่งประหารยอห์นผู้ถวายบัพติศมา (ดู มัทธิว 14:6–11) จะลงโทษพระเยซู ปีลาตก็เพียงแค่ลงนามการตัดสินและอ้างว่าเป็นเพียงเรื่องราวในพื้นที่และเขาเห็นชอบเพราะต้องการรักษาความสงบ แต่พระเยซูไม่ตรัสกับเฮโรด (ดู ลูกา 23:6–12) และเฮโรดส่งพระองค์กลับไปหาปีลาต.

  10. ดู มาระโก 15:6–7; ยอห์น 18:39–40. นักวิชาการพันธสัญญาใหม่เขียนว่า “ดูเหมือนเป็นธรรมเนียมที่ช่วงปัสกาเจ้าเมืองชาวโรมันจะยอมให้ชาวยิวปล่อยนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ถูกตัดสินประหารชีวิต” (Alfred Edersheim, The Life and Times of Jesus the Messiah [1899], 2:576) ชื่อ บารับบัส แปลว่า “บุตรของบิดา”. เรื่องน่าขันที่ให้ชาวเยรูซาเล็มเลือกระหว่างชายสองคนนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง.

  11. ดู มาระโก 15:11-14.

  12. การโบยตีนี้รุนแรงมากจนเรียกว่า “ครึ่งเป็นครึ่งตาย” (Edersheim, Jesus the Messiah, 2:579).

  13. ดู ยอห์น 19:1–3.

  14. ยอห์น 19:4-5.

  15. ก่อนหน้านี้พระเยซูทรงสังเกตว่า “ชน‍ชาติ​นี้​กลาย​เป็น​คน​มี​ใจ​เฉื่อย‍ชา หู​ก็​ตึง และ​ตา​ของ​พวก‍เขา​ก็​ปิด เกรง‍ว่า​เขา​จะ​เห็น​ด้วย​ตา จะ​ได้‍ยิน​ด้วย​หู และ​จะ​ได้​เข้า‍ใจ​ด้วย​จิต‍ใจ แล้ว​จะ​หัน‍กลับ‍มา และ​เรา​จะ​รักษา​พวก‍เขา​ให้​หาย” และหลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ด้วยความอ่อนโยนว่า “แต่​นัยน์‍ตา​ของ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ก็​เป็น​สุข​เพราะ​ได้​เห็น และ​หู​ของ​ท่าน​ก็​เป็น​สุข​เพราะ​ได้‍ยิน” (มัทธิว 13:15–16). เราจะยอมให้ใจเราแข็งกระด้าง หรือจะเปิดตาและใจเราเพื่อมองดูชายคนนี้

  16. ดู โมไซยาห์ 4:20.

  17. อิสยาห์ 40:29.

  18. ดู ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “การผจญภัยของความเป็นมรรตัย” (การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว, 14 ม.ค. 2018), broadcasts.lds.org.

  19. 2 นีไฟ 25:26.