2010–2019
ชั้นสี่ ประตูสุดท้าย
ตุลาคม 2016


ชั้นสี่ ประตูสุดท้าย

พระผู้เป็นเจ้า “ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ดังนั้นเราต้องเคาะต่อไป พี่น้องสตรี อย่ายอมแพ้ แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจของท่าน

พี่น้องสตรีที่รัก เพื่อนที่รัก ช่างเป็นพรอย่างยิ่งที่เราร่วมชุมนุมกันอีกครั้งในการประชุมใหญ่ทั่วโลกภายใต้การกำกับดูแลและการนำของโธมัส เอส. มอนสัน ศาสดาพยากรณ์และท่านประธานผู้เป็นที่รักของเรา ประธานครับ เรารักท่านและเราสนับสนุนท่าน! เรารู้ว่าท่านรักพี่น้องสตรีในศาสนจักร

ข้าพเจ้าชอบเข้าร่วมการประชุมใหญ่ภาคที่ยอดเยี่ยมนี้ที่อุทิศแด่สตรีของศาสนจักร

พี่น้องสตรีทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าเห็นท่าน ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสตรีที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในชีวิตข้าพเจ้า: คุณยายและคุณแม่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งยอมรับคำเชื้อเชิญเป็นคนแรกที่จะมาดูว่าศาสนาจักรเป็นอย่างไร1 มีแฮเรียต ภรรยาสุดที่รัก ผู้ที่ข้าพเจ้าตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นเธอ มีคุณแม่ของแฮเรียต ผู้เข้าร่วมศาสนจักรไม่นานหลังจากสูญเสียสามีของเธอด้วยโรคมะเร็ง จากนั้นพี่สาว ลูกสาว หลานสาวและลูกสาวของหลานสาวข้าพเจ้า—คนเหล่านี้ทุกคนมีอิทธิพลที่ดียิ่ง และนำแสงตะวันที่แท้จริงเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า พวกเธอสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเป็นคนดีขึ้นและเป็นผู้นำที่มีความละเอียดอ่อนมากขึ้นของศาสนจักร ชีวิตข้าพเจ้าจะแตกต่างไปเพียงใดหากไม่มีพวกเธอ

บางทีสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุดคือการที่ได้รู้ว่าอิทธิพลเดียวกันนั้นเป็นการตอกย้ำความสามารถ พรสวรรค์ สติปัญญาและประจักษ์พยานของสตรีแห่งศรัทธาทั่วศาสนจักรเช่นท่านทั้งหลายที่แสดงออกมาหลายล้านครั้ง

ตอนนี้บางท่านอาจรู้สึกไม่คู่ควรแก่คำสรรเสริญเช่นนั้น ท่านอาจคิดว่าท่านด้อยความสำคัญเกินกว่าจะมีอิทธิพลที่มีความหมายต่อผู้อื่น บางทีท่านอาจไม่คิดว่าตัวท่านเองเป็น “สตรีแห่งศรัทธา” เพราะบางครั้งท่านต่อสู้กับความสงสัยหรือความกลัว

วันนี้ข้าพเจ้าปรารถนาจะพูดกับใครก็ตามที่รู้สึกเช่นนั้น—และนั่นอาจรวมถึงเราทุกคนในเวลาใดเวลาหนึ่ง ข้าพเจ้าปรารถนาจะพูดถึงศรัทธา—ว่าศรัทธาคืออะไร ศรัทธาจะทำอะไรได้และไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำเพื่อกระตุ้นพลังศรัทธาในชีวิตเรา

ศรัทธาคืออะไร

ศรัทธาคือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับบางสิ่งที่เราเชื่อ—เป็นความเชื่อมั่นที่แรงกล้าจนกระตุ้นให้เราทำสิ่งที่เราอาจไม่ทำ “ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น”2

ขณะที่สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ต่อผู้คนที่เชื่อ แต่ผู้ไม่เชื่อมักจะสับสน พวกเขาสั่นศีรษะและถามว่า “จะมีใครเล่าสามารถมั่นใจในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น” สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือหลักฐานถึงความไร้เหตุผลของศาสนา

สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจคือ มีวิธีมองเห็นอีกหลายวิธีนอกจากด้วยตาของเรา มีวิธีสัมผัสได้อีกหลายวิธีนอกจากด้วยมือของเรา อีกหลายวิธีที่จะได้ยินนอกจากด้วยหูของเรา

เช่นเดียวกับประสบการณ์ของเด็กหญิงวัยเยาว์ที่กำลังเดินเล่นกับคุณยาย เสียงเจื้อยแจ้วของนกช่างไพเราะต่อเด็กหญิงตัวน้อย และเธอบอกคุณยายถึงทุกเสียงที่เธอได้ยิน

“คุณยายได้ยินเสียงนั้นไหมคะ” เด็กหญิงตัวน้อยถามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คุณยายเธอไม่ค่อยได้ยินและบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไร

ในที่สุด คุณยายคุกเข่าบอกกับหลานว่า “หลานรัก ยายขอโทษ ยายไม่ค่อยได้ยิน”

เด็กหญิงตัวน้อยขัดเคืองใจ เธอประคองใบหน้าคุณยาย จ้องมองแน่วแน่ที่ดวงตาของคุณยายพลางพูดว่า “คุณยาย ตั้งใจฟังดีๆ สิคะ”

มีบทเรียนในเรื่องราวนี้ทั้งสำหรับผู้ไม่เชื่อและผู้เชื่อ เพียงเพราะว่าเราไม่ได้ยินไม่ได้หมายความว่าไม่มีสิ่งใดให้ได้ยิน คนสองคนสามารถได้ยินข่าวสารเดียวกันหรืออ่านพระคัมภีร์เดียวกัน โดยที่คนหนึ่งอาจรู้สึกถึงพยานของพระวิญญาณขณะที่อีกคนหนึ่งไม่รู้สึก

อีกด้านหนึ่ง ในความพยายามของเราที่จะช่วยคนที่เรารักให้ประสบกับสุรเสียงของพระวิญญาณ พร้อมทั้งความสวยงามอันลึกซึ้ง ไพศาล และเป็นนิรันดร์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ การบอกให้พวกเขา “ตั้งใจฟังดีๆ ” อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

บางทีคำแนะนำที่ดีกว่า—สำหรับทุกคนที่ต้องการมีศรัทธาเพิ่มขึ้น—คือฟังให้ ต่างไป อัครสาวกเปาโลกระตุ้นให้เราแสวงหาเสียงที่พูดกับวิญญาณของเราไม่ใช่เพียงหูของเรา ท่านสอนว่า “ แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ”3 หรือบางทีเราควรพิจารณาคำของแซงเตกซูเปรีในหนังสือ เจ้าชายน้อย กล่าวไว้ว่า “เราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”4

พลังอำนาจและข้อจำกัดของศรัทธา

บางครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพัฒนาศรัทธาในเรื่องทางวิญญาณขณะดำเนินชีวิตในโลกทางกายภาพ แต่เป็นสิ่งคู่ควรแก่ความพยายามเพราะพลังอำนาจของศรัทธาในชีวิตเราสามารถเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งได้ พระคัมภีร์สอนเราว่าผ่านทางศรัทธามีการสร้างโลก ผืนน้ำแยกจากกัน คนตายฟื้น และภูเขาเคลื่อนและแม่น้ำเบนไปจากวิถีเดิม5

กระนั้นมีบางคนถามว่า “ถ้าศรัทธาทรงพลังขนาดนั้น ทำไมฉันจึงไม่ได้รับคำตอบเมื่อฉันสวดอ้อนวอนอย่างสุดใจ ฉันไม่ต้องการให้ทะเลแยกหรือภูเขาเคลื่อน ฉันแค่ต้องการหายป่วยหรือพ่อกับแม่ให้อภัยกันหรือคู่ครองนิรันดร์มาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูบ้านพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือข้างหนึ่งและแหวนหมั้นในมืออีกข้างหนึ่ง ทำไมศรัทธาของฉันไม่ทำให้ สิ่งนั้น สำเร็จ

ศรัทธา มี พลังอำนาจและบ่อยครั้งมักจะส่งผลเป็นปาฏิหาริย์ แต่ไม่ว่าเราจะมีศรัทธามากเพียงใด มีอยู่สองอย่างที่ศรัทธาทำไม่ได้ อย่างแรก ศรัทธาไม่สามารถละเมิดสิทธิ์เสรีของผู้อื่น

สตรีคนหนึ่งสวดอ้อนวอนหลายปีให้ลูกสาวที่ออกนอกทางกลับมาสู่ฝูงของพระคริสต์และรู้สึกท้อแท้ว่าคำสวดอ้อนวอนของเธอดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ เธอเจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องราวของบุตรที่หายไปคนอื่นๆ ซึ่งกลับใจจากทางของเขาแล้ว

ปัญหาไม่ใช่สวดอ้อนวอนไม่พอหรือศรัทธาน้อยไป เธอเพียงแต่ต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องเจ็บปวดเพียงใดต่อพระบิดาในสวรรค์ของเรา พระองค์จะไม่ทรงบังคับให้ใครเลือกหนทางที่ชอบธรรม พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้บุตรธิดาของพระองค์เองทำตามพระองค์ในโลกก่อนเกิด—พระองค์จะทรงบังคับเราน้อยลงเพียงใดในเวลานี้ขณะที่เราเดินทางผ่านชีวิตมรรตัย

พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเชื้อเชิญ โน้มน้าวใจ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเอื้อมออกไปอย่างไม่หยุดยั้งด้วยความรัก การดลใจ และกำลังใจ แต่พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงบีบบังคับ—ซึ่งจะบ่อนทำลายแผนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อการเติบโตนิรันดร์ของเรา

อีกอย่างหนึ่งที่ศรัทธาทำไม่ได้คือบังคับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เราไม่สามารถบังคับให้พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมทำตามความปรารถนาของเรา—ไม่ว่าเราจะคิดว่าถูกต้องเพียงใดหรือเราสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจเพียงใด ลองนึกถึงประสบการณ์ของเปาโลผู้วิงวอนพระเจ้าหลายครั้งให้ปลดปล่อยเขาจากการทดลองส่วนตัว— หรือสิ่งที่เขาเรียกว่า “หนามในเนื้อ” แต่นั่นไม่ใช่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดเปาโลตระหนักว่าการทดลองของเขาเป็นพรและเขาขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนในแบบที่เขาคาดหวัง6

ความวางใจและศรัทธา

ไม่เลย จุดประสงค์ของศรัทธาไม่ใช่ การเปลี่ยน พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าแต่เป็นการให้อำนาจเรา ทำตาม พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาคือความวางใจ—วางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นและพระองค์ทรงรู้สิ่งที่เราไม่รู้7 บางครั้งการวางใจวิสัยทัศน์และวิจารณญาณของเราเองนั้นไม่เพียงพอ

ข้าพเจ้าเรียนรู้สิ่งนี้สมัยเป็นนักบินของสายการบิน หลายวันที่ข้าพเจ้าต้องบินเข้าสู่หมอกหรือเมฆทึบและมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้เพียงไม่กี่ฟุต ข้าพเจ้าต้องพึ่งพาเครื่องมือที่บอกว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนและมุ่งหน้าไปทางไหน ข้าพเจ้าต้องฟังเสียงของศูนย์ควบคุมการบิน ข้าพเจ้าต้องทำตามแนวทางของใครบางคนที่มีข้อมูลถูกต้องมากกว่าที่ข้าพเจ้ามี คนที่ข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้แต่เป็นคนที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะวางใจ คนที่สามารถเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เห็น ข้าพเจ้าต้องวางใจและทำตามเพื่อจะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

ศรัทธาหมายความว่าเราไม่เพียงวางใจพระปรีชาญาณของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่วางใจความรักของพระองค์ด้วย นั่นหมายถึงวางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราอย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ—พรทุกประการที่พระองค์ประทานและพรทุกประการที่พระองค์ทรงระงับไว้ในบางเวลา—เป็นไปเพื่อความสุขนิรันดร์ของเรา8

ด้วยศรัทธาเช่นนี้ แม้ว่าเราอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องบางอย่างจึงเกิดขึ้นหรือเหตุใดคำสวดอ้อนวอนบางอย่างจึงไม่ได้รับคำตอบ เราจะรู้ได้ว่าในที่สุด ทุกอย่างจะเป็นที่เข้าใจ “เหตุการณ์ทุกอย่างรวมกัน [จะ] ก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า”9

ทุกอย่างจะถูกต้อง ทุกอย่างจะดี

เราแน่ใจได้ว่าคำตอบจะมา และเราอาจมั่นใจได้ว่าเราไม่เพียงจะพึงพอใจกับคำตอบเท่านั้น แต่เราจะท่วมท้นด้วยพระคุณ พระเมตตา พระกรุณา และความรักของพระบิดาบนสวรรค์ต่อเรา บุตรธิดาของพระองค์

จงเคาะต่อไป

จนกว่าจะถึงเวลานั้นเราดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาที่เรามี10 เพื่อแสวงหาศรัทธาที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา บางครั้งนี่ไม่ใช่การค้นหาที่ง่าย ผู้ที่ไม่อดทน ไม่ผูกมัดตน หรือไม่ใส่ใจค้นหาศรัทธาซึ่งได้มายาก ผู้ที่ท้อแท้หรือเขว ง่ายไปมักจะไม่พบศรัทธา ศรัทธามาสู่ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ขยันหมั่นเพียร และอดทน

ศรัทธาจะเกิดขึ้นกับผู้ที่จ่ายค่าความซื่อสัตย์

ความจริงนี้แสดงให้เห็นจากประสบการณ์ของผู้สอนศาสนาหนุ่มสองคนที่รับใช้ในยุโรป ในเขตซึ่งมีผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสบัพติศมาน้อย ข้าพเจ้าคาดว่าพวกเขาทำใจยอมรับได้ที่จะคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้สร้างประสิทธิผลเท่าไรนัก

แต่ผู้สอนศาสนาสองคนนี้มี ศรัทธา และพวกเขาอุทิศตน พวกเขามีเจตคติที่ว่าถ้าไม่มีใครฟังข่าวสารของพวกเขา นั่นต้องไม่เป็นเพราะพวกเขาทำงานแค่พอเอาตัวรอด

วันหนึ่งพวกเขามีความรู้สึกว่าจะต้องเข้าไปยังสถานที่พักอาศัยซึ่งดูดี เป็นอาคารห้องชุดสี่ชั้น พวกเขาเริ่มจากชั้นแรกโดยเคาะประตูแต่ละห้อง นำเสนอข่าวสารแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์และการฟื้นฟูศาสนจักรของพระองค์

ภาพ
อพาร์ทเมนท์ซิสเตอร์อุคท์ดอร์ฟสมัยเด็ก

ที่ชั้นแรกไม่มีใครฟังพวกเขา

เป็นการง่ายเพียงไรที่จะพูดว่า “เราพยายามแล้ว ที่นี่พอแล้ว ไปลองที่ตึกอื่นเถอะ”

แต่ผู้สอนศาสนาสองคนนี้มี ศรัทธา และพวกเขาเต็มใจ ทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงเคาะประตูทุกห้องบนชั้นสอง

อีกครั้งที่ไม่มีใครฟัง

ชั้นที่สามก็เช่นเดียวกัน และเช่นเดียวกับชั้นที่สี่—นั่นคือจนกระทั่งพวกเขาเคาะประตูสุดท้ายของชั้นที่สี่

เมื่อประตูเปิด หญิงสาวคนหนึ่งยิ้มให้พวกเขาและขอให้พวกเขารอขณะที่เธอพูดกับคุณแม่ของเธอ

คุณแม่ของเธอมีอายุเพียง 36 ปีและเพิ่งสูญเสียสามีไปไม่นาน และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดกับผู้สอนศาสนาชาวมอรมอน เธอบอกลูกสาวเธอให้เธอไล่พวกเขาไป

แต่ลูกสาววิงวอนเธอ ชายหนุ่มเหล่านี้นิสัยดีมาก เธอบอก และจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

มารดาตกลงอย่างไม่เต็มใจ ผู้สอนศาสนาให้ข่าวสารและยื่น—พระคัมภีร์มอรมอนให้มารดาอ่าน

หลังจากพวกเขาไปแล้ว มารดาตัดสินใจว่าอย่างน้อยจะอ่านสักสองสามหน้า

เธออ่านจบทั้งเล่มภายในไม่กี่วัน

ภาพ
ครอบครัวของซิสเตอร์อุคท์ดอร์ฟกับผู้สอนศาสนา

ไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวของมารดาตัวคนเดียวที่ยอดเยี่ยมนี้ได้เข้าสู่น้ำแห่งบัพติศมา

เมื่อครอบครัวเล็กๆ เข้าร่วมประชุมกับสาขาในท้องที่ของพวกเขาที่แฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี มัคนายกหนุ่มคนหนึ่งเห็นความงามของลูกสาวคนหนึ่งและคิดว่า “ผู้สอนศาสนาเหล่านี้ทำงานได้ยอดเยี่ยม”

ชื่อมัคนายกหนุ่มคนนั้นคือดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ และหญิงสาวผู้มีเสน่ห์—ผู้ที่วิงวอนคุณแม่ให้ฟังผู้สอนศาสนา—มีชื่อที่สวยงามว่าแฮเรียต ทุกคนที่พบเธอขณะที่เธอเดินทางกับข้าพเจ้าล้วนรักเธอ เธอเป็นพรแก่ชีวิตของผู้คนจำนวนมากผ่านทางความรักของเธอที่มีต่อพระกิตติคุณและด้วยบุคลิกอันมีชีวิตชีวา เธอเป็นแสงตะวันในชีวิตข้าพเจ้าอย่างแท้จริง

ภาพ
ซิสเตอร์อุคท์ดอร์ฟกำลังพูดในประเทศนอร์เวย์

บ่อยครั้งที่ใจข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อผู้สอนศาสนาสองคนผู้ไม่ยอมหยุดที่ชั้นแรก บ่อยครั้งที่ใจข้าพเจ้าเอื้อมออกไปด้วยความขอบคุณสำหรับ ศรัทธา และ งาน ของพวกเขา บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้านึกขอบคุณพวกเขาที่พยายามต่อไป—แม้จนถึงชั้นสี่ประตูสุดท้าย

แล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน

ในการแสวงหาศรัทธาอันยั่งยืน ในการค้นหาเพื่อเชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าและจุดประสงค์ของพระองค์ ขอให้เราระลึกถึงคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่า “จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน”11

เราจะยอมแพ้หลังจากเคาะหนึ่งหรือสองประตู หนึ่งหรือสองชั้นไหม

หรือเราจะพยายามค้นหาจนเราไปถึงชั้นสี่ประตูสุดท้าย

พระผู้เป็นเจ้า “ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์”12 แต่รางวัลนั้นโดยปกติจะไม่อยู่หลังประตูแรก ดังนั้นเราต้องเคาะต่อไป พี่น้องสตรี อย่ายอมแพ้ แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ใช้ศรัทธา ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม

ข้าพเจ้าสัญญาว่าถ้าท่านจะทำสิ่งนี้—แม้จนถึงชั้นสี่ประตูสุดท้าย—ท่านจะได้รับคำตอบที่ท่านแสวงหา ท่านจะพบศรัทธา และวันหนึ่งท่านจะเปี่ยมด้วยแสงที่ส่องสว่าง “มากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์.”13

พี่น้องที่รักในพระคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีอยู่จริง

พระองค์ทรงพระชนม์

พระองค์ทรงรักท่าน

พระองค์ทรงรู้จักท่าน

พระองค์เข้าพระทัยท่าน

พระองค์ทรงทราบคำวิงวอนอย่างเงียบๆ ในใจท่าน

พระองค์ไม่ทรงละทิ้งท่าน

พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน

นี่คือประจักษ์พยานและพรแห่งอัครสาวกของข้าพเจ้าสำหรับทุกท่านว่าท่านจะรู้สึกด้วยตนเองในใจและในความคิดท่านถึงความจริงอันสูงส่งนี้ พี่น้องสตรีที่รัก เพื่อนที่รัก จงใช้ชีวิตด้วยศรัทธา และ “พระยาห์เวห์พระเจ้า [ของเราจะ] ทรงทำให้ท่านทวีขึ้นพันเท่า และทรงอวยพรท่านดังที่ทรงสัญญา”14

ข้าพเจ้าฝากศรัทธา ความเชื่อมั่น ความแน่วแน่และพยานอันไม่หวั่นไหวของข้าพเจ้าว่านี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้า ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเป็นที่รัก ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน