2010–2019
ดิฉันเชื่อหรือไม่
เมษายน 2016


ดิฉันเชื่อหรือไม่

ถ้าสิ่งเหล่านี้จริงแสดงว่าเรามีข่าวสารประเสริฐสุดของความหวังและความช่วยเหลือที่โลกเคยรู้

วันที่ 30 มีนาคม หนึ่งปีมาแล้ว เอธาน คาร์เนเซกกา วัยสองขวบจากอเมริกันฟอร์ค ยูทาห์เข้าโรงพยาบาลเพราะปอดบวมและน้ำท่วมปอด สองวันต่อมาอาการของเขาทรุดหนักจนต้องถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งไปโรงพยาบาลเด็กเล็กในซอลท์เลคซิตี้ มิเชลมารดาของเขาได้รับอนุญาตให้นั่งในที่นั่งด้านหน้าไปพร้อมกับลูกชายของเธอ มีคนให้หูฟังเธอเพื่อจะสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ ในเฮลิคอปเตอร์ได้ เธอได้ยินเจ้าหน้าที่แพทย์กำลังช่วยลูกชายที่ป่วยของเธอ และโดยที่เป็นพยาบาลกุมารเวช มิเชลรู้พอจะเข้าใจว่าเอธานอาการสาหัส

ภาพ
เอธาน คาร์เนเซกกาขณะป่วย

ในช่วงวิกฤตนั้น มิเชลสังเกตว่าพวกเขากำลังบินลัดฟ้าผ่านพระวิหารเดรเปอร์ ยูทาห์ เธอมองข้ามหุบเขาลงมาเห็นพระวิหารจอร์แดนริเวอร์ พระวิหารโอเคอร์เมาน์เทน และเห็นพระวิหารซอลท์เลคแต่ไกลด้วย ความคิดหนึ่งเข้ามาในใจเธอว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่”

เธอพูดถึงประสบการณ์นี้ว่า

“ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับพรของพระวิหารและ [ว่า] ‘ครอบครัวอยู่ชั่วนิรันดร์’ ในปฐมวัยและในเยาวชนหญิง ดิฉันแบ่งปันข่าวสารเรื่องครอบครัวกับผู้คนที่จิตใจดีของเม็กซิโกเมื่อดิฉันเป็นผู้สอนศาสนา ดิฉันรับการผนึกกับคู่นิรันดร์เพื่อกาลเวลาและนิรันดรในพระวิหาร ดิฉันสอนบทเรียนเกี่ยวกับครอบครัวในฐานะผู้นำเยาวชนหญิง และดิฉันแบ่งปันเรื่องครอบครัวนิรันดร์กับลูกๆ ในการสังสรรค์ในครอบครัว ดิฉัน รู้ แต่ดิฉัน เชื่อ หรือไม่ คำตอบมาทันทีที่คำถามนั้นแวบเข้ามาในสมอง: พระวิญญาณทรงยืนยันคำตอบที่ดิฉันรู้แล้วกับใจและความคิดดิฉันว่า ดิฉันเชื่อ!

“ในขณะนั้นดิฉันระบายความในใจในการสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาบนสวรรค์ ขอบพระทัยสำหรับความรู้และความเชื่อที่ว่าครอบครัวอยู่ชั่วนิรันดร์จริงๆ ดิฉันขอบพระทัยพระองค์สำหรับพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ ดิฉันขอบพระทัยสำหรับบุตรชายของดิฉัน และดิฉันให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้ว่าถ้าพระองค์ประสงค์จะนำเอธานลูกชายของดิฉันไปบ้านบนสวรรค์ นั่นไม่เป็นไร ดิฉันวางใจในพระบิดาบนสวรรค์อย่างสมบูรณ์ และรู้ว่าดิฉันจะได้พบเอธานอีก ดิฉันสำนึกคุณอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตินั้น ดิฉันมีความรู้ และ ความเชื่อว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง ดิฉันมีสันติ”1

เอธานอยู่ในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์ ได้รับการดูแลจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญ คำสวดอ้อนวอน การอดอาหาร และศรัทธาของคนที่รักเขา ผนวกกับการดูแลเช่นนั้นทำให้เขาได้ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว เขามีสุขภาพดีจนถึงทุกวันนี้

ภาพ
ครอบครัวคาร์เนเซกกา
ภาพ
เอธาน คาร์เนเซกกาฟื้นตัวแล้ว

ช่วงเวลานี้สำหรับมิเชลยืนยันกับเธอว่าสิ่งที่เธอได้รับการสอนมาชั่วชีวิตเป็นมากกว่าคำพูด สิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง

บางครั้งเราเคยชินหรือไม่กับพรที่เราได้รับในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจนเราไม่เข้าใจปาฏิหาริย์และความงดงามของการเป็นสานุศิษย์ในศาสนจักรที่แท้จริงของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ เราเคยรู้สึกผิดจากการไม่สำนึกคุณต่อของประทานสำคัญที่สุดที่เราสามารถรับได้ในชีวิตนี้หรือไม่ พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “หากเจ้ารักษาบัญญัติของเราและอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์, ซึ่งของประทานนี้สำคัญที่สุดในบรรดาของประทานทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า”2

เราเชื่อว่าศาสนจักรนี้เป็นมากกว่าสถานที่ดีๆ ที่เราไปในวันอาทิตย์และเรียนรู้วิธีเป็นคนดี เป็นมากกว่าสโมสรชาวคริสต์ที่ดีงามเพื่อให้เราได้คบหากับคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่เพียงแต่แนวคิดดีๆ ที่พ่อแม่สามารถสอนลูกๆ ที่บ้านเพื่อพวกเขาจะเป็นคนรับผิดชอบและเป็นคนดีเท่านั้น ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นมากกว่าทั้งหมดนี้แน่นอน

ลองคิดสักครู่เกี่ยวกับคำยืนยันที่ลึกซึ้งว่าเราเป็นศาสนา เราเชื่อว่าศาสนจักรเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ทรงจัดตั้งขณะอยู่บนแผ่นดินโลกได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งโดยศาสดาพยากรณ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกในเวลาของเราและผู้นำของเรามีอำนาจและสิทธิอำนาจเดียวกับอัครสาวกสมัยโบราณที่จะกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนี้เรียกว่าฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า เรายืนยันว่าโดยผ่านสิทธิอำนาจที่ได้รับการฟื้นฟูนี้ เราสามารถรับศาสนพิธีแห่งความรอด เช่น บัพติศมา และมีของประทานแห่งการทำให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่กับเราตลอดเวลา เรามีอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์นำและกำกับดูแลศาสนจักรนี้ผ่านกุญแจฐานะปุโรหิต และเราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับลูกๆ ของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์เหล่านี้

เราเชื่อเช่นกันว่าอำนาจฐานะปุโรหิตนี้ทำให้เราได้ทำพันธสัญญาและรับศาสนพิธีในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสักวันหนึ่งจะเปิดทางให้เรากลับไปที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าและอยู่กับพระองค์ตลอดไป เรายืนยันเช่นกันว่าโดยผ่านอำนาจนี้ ครอบครัวสามารถผูกพันกันชั่วนิรันดร์เมื่อคู่สามีภรรยาเข้าสู่พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงานในอาคารศักดิ์สิทธิ์ที่เราเชื่อว่าเป็นพระนิเวศน์ของพระผู้เป็นเจ้า เราเชื่อว่าเราสามารถรับศาสนพิธีแห่งความรอดเหล่านี้ไม่เฉพาะสำหรับตัวเราเท่านั้นแต่สำหรับบรรพชนที่เคยอยู่บนแผ่นดินโลกโดยไม่มีโอกาสรับศาสนพิธีที่จำเป็นเหล่านี้ด้วย เราเชื่อว่าเราสามารถประกอบศาสนพิธีให้บรรพชนของเราโดยมีผู้ทำแทนในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

เราเชื่อว่าโดยผ่านศาสดาพยากรณ์และเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เราได้รับพระคัมภีร์เพิ่มเติม โดยเพิ่มเข้ากับประจักษ์พยานที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก

เรายืนยันว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและศาสนจักรแท้จริงแห่งเดียวบนแผ่นดินโลก ที่เรียกว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์เพราะพระองค์ทรงเป็นประมุข เป็นศาสนจักรของพระองค์ และทั้งหมดนี้เป็นไปได้เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์

เราเชื่อว่าเราจะไม่พบลักษณะเด่นเหล่านี้ในที่อื่นหรือองค์กรอื่นบนโลกนี้ แม้ศาสนาอื่นและนิกายอื่นดีและจริงใจ แต่ไม่มีแห่งใดมีสิทธิอำนาจให้ศาสนพิธีแห่งความรอดเช่นที่มีอยู่ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

เรามีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ แต่ เราเชื่อหรือไม่ ถ้าสิ่งเหล่านี้จริงแสดงว่าเรามีข่าวสารประเสริฐสุดของความหวังและความช่วยเหลือที่โลกเคยรู้ การเชื่อสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญนิรันดร์ต่อเราและต่อคนที่เรารัก

เพื่อที่จะเชื่อ เราต้องรับพระกิตติคุณจากสมองเข้ามาในใจเรา! เราอาจเพียงแต่ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณเหมือนเครื่องจักรเพราะคาดหวังเช่นนั้นหรือเพราะเป็นวัฒนธรรมที่เราเติบโตมาหรือเพราะเป็นนิสัย บางคนอาจไม่เคยประสบสิ่งที่ผู้คนของกษัตริย์เบ็นจามินรู้สึกหลังจากฟังโอวาทอันทรงพลังของเขา “พวกเขาทั้งหมดร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน, มีความว่า: แท้จริงแล้ว, เราเชื่อถ้อยคำทั้งหมดที่ท่านกล่าวแก่เรา; และ, เรารู้ถึงความแน่นอนและความจริงของมันด้วย, เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์, ซึ่งทรงกระทำการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำในเรา, หรือในใจเรา, จนเราไม่มีใจที่จะทำความชั่วอีก, แต่จะทำความดีโดยตลอด”3

เราทุกคนต้องพยายามให้ใจและธรรมชาติวิสัยของเราเปลี่ยนเพื่อเราจะไม่มีความปรารถนาที่จะเดินตามวิถีของโลกแต่ทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นช่วงระยะเวลาหนึ่งและเกี่ยวข้องกับการเต็มใจใช้ศรัทธา เกิดขึ้นเมื่อเราค้นคว้าพระคัมภีร์แทนอินเทอร์เน็ต เกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อเรารับใช้คนรอบข้าง เกิดจากการสวดอ้อนวอนที่จริงใจ เข้าพระวิหารเป็นประจำ และทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้เราอย่างซื่อสัตย์ นั่นต้องมีความเสมอต้นเสมอปลายและพยายามทุกวัน

คนมักจะถามดิฉันว่า “การท้าทายใหญ่สุดที่เยาวชนของเราทุกวันนี้เผชิญคืออะไร” ดิฉันตอบว่าดิฉันเชื่อว่าการท้าทายนั้นคืออิทธิพลที่มีอยู่เสมอของ “อาคารใหญ่และกว้าง”4 ในชีวิตพวกเขา ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนเขียนเพื่อสมัยของเราโดยเฉพาะ เราจะพลาดข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเราทุกคนไม่ได้เลยในนิมิตของลีไฮเรื่องต้นไม้แห่งชีวิตและผลของคนที่ชี้นิ้วเยาะเย้ยจากอาคารใหญ่และกว้าง

สิ่งที่ทำให้ดิฉันร้าวรานใจที่สุดคือคำอธิบายเกี่ยวกับคนที่ฝ่าหมอกแห่งความมืดบนทางคับแคบและแคบมาแล้ว จับราวเหล็กแน่นจนมาถึงเป้าหมาย และเริ่มชิมรสผลหวานและบริสุทธิ์ของต้นไม้แห่งชีวิต พระคัมภีร์กล่าวต่อจากนั้นว่าคนแต่งกายประณีตในอาคารใหญ่และกว้าง “อยู่ในอากัปกิริยาล้อเลียนและชี้นิ้วของพวกเขามาทางผู้คนซึ่งเข้ามาและกำลังรับส่วนผลนั้น

“และ หลังจากพวกเขาได้ชิมรสของผลนั้นแล้ว พวกเขามีความละอาย, อันเนื่องมาจากผู้ซึ่งกำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่; และพวกเขาตกลงไปในทางที่ต้องห้ามและหายไป”5

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้พูดถึงพวกเราที่มีพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในชีวิตเราแล้ว ไม่ว่าเราเกิดในพระกิตติคุณหรือต้องฝ่าหมอกแห่งความมืดจนพบพระกิตติคุณ เราได้ชิมรสผลนี้แล้ว ซึ่ง “มีค่าที่สุดและน่าปรารถนาที่สุด” และมีศักยภาพจะนำเราสู่ชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็น “ของประทานสำคัญที่สุดในบรรดาของประทานทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า”6 เราเพียงแต่ต้องดื่มด่ำต่อไปและไม่ใส่ใจคนที่จะหัวเราะเยาะความเชื่อของเราหรือคนที่ชอบก่อความสงสัยหรือคนที่จับผิดผู้นำศาสนจักรและหลักคำสอน นั่นเป็นการเลือกที่เราทำทุกวัน—เลือกศรัทธาเหนือความสงสัย เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดกระตุ้นเราให้ “อยู่ในเรือ ใช้เสื้อชูชีพของท่าน และจับเรือให้แน่นทั้งสองมือ”7

ในฐานะสมาชิกศาสนจักรที่แท้จริงของพระเจ้า เราอยู่บนเรือแล้ว เราไม่ต้องไปค้นหาความจริงผ่านปรัชญาของโลกซึ่งจะให้ความสบายใจ ความช่วยเหลือ และการนำทางแก่เราเพื่อเราจะฝ่าการทดลองชีวิตไปอย่างปลอดภัย—เรามีอยู่แล้ว! เฉกเช่นคุณแม่ของเอธานสำรวจความเชื่อที่มีมานานของเธอและประกาศด้วยความเชื่อมั่นในช่วงวิกฤติว่า “ดิฉันเชื่อ” เราทำได้เช่นกัน!

ดิฉันกล่าวคำพยานว่าการเป็นสมาชิกของเราในอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าสุดประมาณ ดิฉันเป็นพยานว่าพรและสันติสุขที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้คนที่เชื่อฟังและซื่อสัตย์นั้นดีกว่าสิ่งใดที่มนุษย์จะเข้าใจได้ ดิฉันฝากประจักษ์พยานนี้ไว้กับท่านในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน