2010–2019
เลือกความสว่าง
ตุลาคม 2015


เลือกความสว่าง

เราต้องเลือกเอาใจใส่คำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ รับรู้และปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณ เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัว

ไม่นานมานี้ ข้าพเจ้ากับภรรยาตัดสินใจว่าเราควรสัมผัสมากขึ้นถึงความสวยงามของพื้นที่ใกล้บ้านเราในมอนแทนาฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เราวางแผนนำจักรยานไปที่เส้นทางฮีอาวาทาเทรล รางรถไฟสายเก่าที่เปลี่ยนเป็นทางปั่นจักรยานข้ามภูเขาร็อคกี้อันสวยงามระหว่างรัฐมอนแทนากับไอดาโฮ เราคาดหวังว่าจะได้สนุกสนานกับเพื่อนๆ ที่ดี พร้อมกับชื่นชมความงามตามธรรมชาติในพื้นที่

เรารู้ว่าการขี่จักรยานตามเส้นทาง 15 ไมล์ (24 กม.) อันสวยงามมากนี้จะรวมถึงสะพานรถไฟข้ามหุบเหวลึกและอุโมงค์ยาวเหยียดลอดใต้ภูเขาขรุขระ ฉะนั้นเราจึงเตรียมพร้อมโดยติดไฟไว้ที่หมวกนิรภัยและจักรยานของเรา

ภาพ
ข้างนอกอุโมงค์แทฟท์ทันเนิล

คนที่เคยไปมาก่อนแล้วเตือนเราว่าอุโมงค์มืดมาก เราจึงต้องมีแสงไฟที่สว่างจ้าจริงๆ ขณะที่เรารวมกันอยู่หน้าทางเข้าอุโมงค์หินยักษ์แทฟท์ทันเนิล ผู้ดูแลสถานที่อธิบายถึงอันตรายบางอย่างของเส้นทาง รวมถึงร่องลึกข้างทาง กำแพงขรุขระ และความมืดสนิท เรามุ่งเข้าสู่อุโมงค์อย่างไม่รีรอ หลังจากขี่ไปได้ไม่กี่นาที เราก็ตกอยู่ในความมืดมิดที่คาดไว้ แสงไฟที่ข้าพเจ้านำมาพิสูจน์ว่ามีไม่เพียงพอ และไม่นานความมืดก็บดบังแสงสว่างทั้งหมด ทันใดนั้นข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกกังวล สับสน และพิศวงงงงวย

ภาพ
จักรยานในอุโมงค์
ภาพ
จักรยานในอุโมงค์กับแสงสะท้อน

ข้าพเจ้าอายที่จะยอมรับกับเพื่อนๆ และครอบครัวว่าข้าพเจ้าวิตกกังวล แม้จะเป็นนักปั่นจักรยานที่มีประสบการณ์ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกราวกับว่าไม่เคยปั่นจักรยานมาก่อนเลย ข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะนิ่งไว้ขณะที่ความสับสนเพิ่มขึ้น ในที่สุดหลังจากข้าพเจ้าแสดงความไม่สบายใจแก่ผู้คนรอบข้าง ข้าพเจ้าสามารถเคลื่อนเข้าหาแสงไฟสว่างจ้ามากๆ ของเพื่อนคนหนึ่ง อันที่จริง ทุกคนในกลุ่มเริ่มปั่นเป็นวงรอบๆ เขา โดยการอยู่ใกล้เขาและพึ่งพาแสงไฟของเขาตลอดจนแสงไฟที่รวมกันของกลุ่ม เราปั่นลึกต่อไปอีกเข้าสู่ความมืดของอุโมงค์

ภาพ
แสงที่ปลายทางอุโมงค์

หลังจากดูเหมือนหลายชั่วโมงผ่านไป ข้าพเจ้าเห็นแสงไฟจุดเล็กๆ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกอุ่นใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดีเกือบจะทันที ข้าพเจ้ารุดหน้าต่อไปโดยพึ่งพาแสงไฟของเพื่อนๆ และแสงไฟจุดเล็กๆ นั้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความมั่นใจของข้าพเจ้าค่อยๆ กลับมาขณะที่แสงนั้นใหญ่ขึ้นและเจิดจ้ายิ่งขึ้น เป็นเวลานานก่อนที่จะถึงปลายอุโมงค์ ข้าพเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ อีกต่อไป ความวิตกกังวลหายไปขณะที่เราปั่นอย่างรวดเร็วไปหาแสงนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงบและอุ่นใจแม้ก่อนที่เราจะปั่นไปสู่รุ่งอรุณที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและงดงาม

เราอาศัยอยู่ในโลกที่เราจะประสบกับความท้าทายต่อศรัทธาของเรา เราอาจรู้สึกมั่นใจว่าเราพร้อมจะเผชิญความท้าทายเหล่านี้—เพียงเพื่อพบว่าการเตรียมพร้อมของเรานั้นไม่เพียงพอ และเฉกเช่นเพื่อนข้าพเจ้าเตือนไว้เกี่ยวกับความมืด เราก็ได้รับการเตือนในทุกวันนี้ เสียงของอัครสาวกกระตุ้นให้เราเตรียมตนเองด้วยความสว่างเจิดจ้าของความเข้มแข็งทางวิญญาณ

ในทำนองเดียวกัน เราอาจรู้สึกอาย ไม่สบายใจ หรือสับสนทางวิญญาณเมื่อเราเผชิญปัญหาท้าทายศรัทธาของเรา โดยทั่วไปแล้ว ความแรงกล้าและระยะเวลาของความรู้สึกเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการตอบสนองที่เรามีต่อความรู้สึกดังกล่าว หากเราไม่ทำอะไรเลย ความสงสัย ความจองหอง และในที่สุดการละทิ้งความเชื่อจะขับเราออกจากความสว่าง

ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนสำคัญบางอย่างจากประสบการณ์ในอุโมงค์ ข้าพเจ้าจะแบ่งปันเพียงสองสามข้อ

หนึ่ง ไม่ว่าความมืดอันเนื่องจากความสงสัยจะแรงกล้าเพียงใด เราเลือกเองว่าเราจะยอมให้สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อเรามากแค่ไหนและนานเพียงใด เราต้องจำไว้ว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ทรงรักเรามากเพียงใด ทั้งสองพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเรา และจะไม่ทรงปล่อยให้เราถูกครอบงำหากเราแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ จงนึกถึงประสบการณ์ของเปโตรขณะคลื่นซัดกระหน่ำในทะเลกาลิลี เมื่อเปโตรรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในความมืดอันหนาวเย็น เขาตระหนักถึงภาวะวิกฤติของตนทันทีและเขาเลือกร้องขอความช่วยเหลือในวินาทีนั้น เขาไม่สงสัยฤทธานุภาพของพระผู้ช่วยให้รอดที่จะช่วยชีวิตเขา เขาร้องเพียงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย”1

ในชีวิตเรา พระหัตถ์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงยื่นมาอาจมาในรูปแบบของความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ใจได้ จากผู้นำ หรือบิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ขณะที่เราดิ้นรนอยู่ในความมืด ไม่ผิดที่จะพึ่งพาแสงสว่างเพียงชั่วคราวของผู้ที่รักเราและปรารถนาจะช่วยเราอย่างจริงใจ

เมื่อเราพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เหตุใดเราจึงฟังเสียงเย้ยหยันไร้ใบหน้าของผู้ที่อยู่ในอาคารใหญ่และกว้างในสมัยของเราและเพิกเฉยคำวิงวอนของผู้ที่รักเราอย่างแท้จริง ผู้มีทัศนะเชิงลบตลอดเวลาเหล่านี้ต้องการทำลายแทนที่จะยกระดับและเย้ยหยันแทนที่จะอุ้มชู คำเยาะเย้ยของพวกเขาสามารถชอนไชเข้าไปในชีวิตเราได้ บ่อยครั้งผ่านการบิดเบือนทางอิเล็กทรอนิกส์แบบเสี้ยววินาทีซึ่งประกอบขึ้นอย่างพิถีพิถันและจงใจทำลายศรัทธาของเรา ท่านคิดว่าดีกว่าหรือที่จะวางความผาสุกนิรันดร์ของเราไว้ในมือคนแปลกหน้า ดีกว่าหรือที่จะรับเอาความรู้แจ้งจากคนที่ไม่มีความสว่างจะให้หรือมีวาระซ่อนเร้นที่ปิดบังไว้ไม่ให้เรารู้ บุคคลนิรนามเหล่านี้ ถ้ามานำเสนอกับเราต่อหน้า คงจะไม่ได้รับความสนใจจากเราแม้สักวินาที แต่เนื่องจากพวกเขาใช้จุดอ่อนของสื่อสังคมออนไลน์ ซ่อนตัวจากการตรวจสอบได้ พวกเขาจึงได้รับความน่าเชื่อถือที่ไม่สมควรจะได้รับ

การเลือกของเราที่จะเอาใจใส่ผู้เยาะเย้ยสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้เราออกห่างความสว่างของพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งช่วยและให้ชีวิต ยอห์นบันทึกว่า “พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า ‘เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต’”2 พึงจำไว้ว่าผู้ที่รักเราอย่างแท้จริงจะช่วยเสริมสร้างศรัทธาของเราได้

เฉกเช่นข้าพเจ้ารู้สึกอายในอุโมงค์ เราอาจรู้สึกอายที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อเราสงสัยเช่นกัน บางทีเราอาจจะเป็นคนที่ผู้อื่นพึ่งพาพละกำลัง และบัดนี้เราเองต้องการความช่วยเหลือ เมื่อใดที่เราตระหนักว่าความสว่างและการปลอบโยนที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเผื่อแผ่มาถึงเราได้นั้นมีค่าเกินกว่าจะสูญเสียให้แก่ความจองหอง เมื่อนั้นผู้นำศาสนจักรที่ได้รับการดลใจ บิดามารดา และเพื่อนที่เราไว้วางใจสามารถช่วยได้ พวกเขาพร้อมจะช่วยให้เราได้รับการรับรองทางวิญญาณที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้เราต้านทานความท้าทายของศรัทธา

สอง เราต้องวางใจในพระเจ้าเพื่อจะพัฒนาความเข้มแข็งทางวิญญาณภายในตัวเรา เราไม่สามารถพึ่งพาความสว่างของผู้อื่นตลอดไป ข้าพเจ้าทราบว่าความมืดในอุโมงค์จะไม่ยาวนานหากข้าพเจ้าปั่นเคียงข้างเพื่อนต่อไปและเกาะกลุ่มเพื่อความความปลอดภัย แต่ข้าพเจ้ามีความคาดหวังที่จะปั่นต่อไปได้ด้วยตนเองเมื่อข้าพเจ้ามองเห็นแสงสว่าง พระเจ้าทรงสอนเราว่า “จงเข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า.”3 เราต้องกระทำโดยคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงทำตามคำสัญญาของพระองค์ที่จะยกเราขึ้นจากความมืดหากเราเข้าใกล้พระองค์ อย่างไรก็ตาม ปฏิปักษ์จะพยายามทำให้เราเชื่อว่าเราไม่เคยสัมผัสถึงอิทธิพลของพระวิญญาณและเป็นการง่ายกว่าที่จะหยุดพยายาม

ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟให้คำแนะนำเราว่า “จงสงสัยความสงสัยของท่านก่อนที่ท่านจะสงสัยศรัทธาของท่านเอง”4 ในวอร์ดบ้านของข้าพเจ้า ไม่นานมานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “มีบางอย่างที่ผมรู้สึกซึ่งไม่สามารถอธิบายได้เลยจนบอกได้แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า” นี่คือความซื่อสัตย์ทางวิญญาณ

เมื่อเผชิญกับคำถามหรือถูกล่อลวงให้สงสัย เราควรนึกถึงพรและความรู้สึกทางวิญญาณที่เข้ามาสู่ใจและชีวิตเราในอดีต ทำให้เรามีศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้านึกถึงคำแนะนำที่ให้ไว้ในเพลงสวดที่คุ้นเคย “เราไม่สงสัยพระคุณและพระเจ้า [เพราะ] เราพิสูจน์พระองค์ในกาลผ่าน”5 การมองข้ามและลดคุณค่าประสบการณ์ทางวิญญาณที่ผ่านมาจะทำให้เราอยู่ห่างจากพระผู้เป็นเจ้า

การแสวงหาความสว่างของเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยความเต็มใจของเราที่จะรับรู้เมื่อความสว่างนั้นฉายส่องในชีวิตเรา พระคัมภีร์สมัยใหม่ให้คำนิยามถึงความสว่างและให้สัญญากับผู้ที่ยอมรับความสว่างนั้น “สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง; และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์.”6 เช่นกันกับที่เราปั่นไปหาแสงสว่างต่อไป ยิ่งเรายึดมั่นมากขึ้นเท่าไร อิทธิพลของพระองค์ในชีวิตเรายิ่งสว่างมากขึ้นเท่านั้น ดังความสว่างที่ปลายอุโมงค์ อิทธิพลของพระองค์จะนำมาซึ่งความมั่นใจ ความตั้งใจ การปลอบโยน และ—ที่สำคัญที่สุด—พลังที่จะรู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

สาม ไม่มีความมืดใดจะมืดสนิท มีอันตราย หรือยากลำบากเกินกว่าที่ความสว่างจะฝ่าฟันได้ เมื่อไม่นานมานี้เอ็ลเดอร์นีล แอล. แอนเดอร์เซ็นสอนว่า “ขณะที่ความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นในโลก มีพลังอำนาจทางวิญญาณสำหรับความชอบธรรมมาชดเชย ขณะที่โลกเลื่อนหลุดออกไปจากเครื่องยึดเหนี่ยวทางวิญญาณ พระเจ้าทรงเตรียมทางไว้ให้ผู้ที่แสวงหาพระองค์ พร้อมทั้งประทานการรับรอง การยืนยัน และความมั่นใจให้พวกเขามากยิ่งขึ้นในทิศทางทางวิญญาณที่พวกเขากำลังเดินทางไป ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้นในยามสนธยาที่กำลังเริ่มต้น”7

พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้ถูกทอดทิ้งไว้เดียวดายให้ได้รับอิทธิพลจากทุกๆ เสียงและการเปลี่ยนแปลงในเจตคติของโลก แต่เรามีอำนาจที่จะเลือกความเชื่อเหนือความสงสัย เพื่อจะเข้าถึงพลังอำนาจทางวิญญาณที่ชดเชยซึ่งสัญญาไว้ เราต้องเลือกเอาใจใส่คำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ รับรู้และปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณ เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัว เราต้องเลือก ขอให้เราเลือกความสว่างของพระผู้ช่วยให้รอด ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน