2000–2009
ยืนในที่ซึ่งกำหนดไว้ให้ท่าน
เมษายน 2003


ยืนในที่ซึ่งกำหนดไว้ให้ท่าน

ขอให้เราผูกมิตรและช่วยเหลือคนที่ตกข้างทาง เพื่อไม่ให้จิตวิญญาณล้ำค่าดวงใดหายไป

ฐานะปุโรหิตมาประชุมกันเป็นกลุ่มใหญ่ในค่ำนี้ ทั้งที่นี่ในศูนย์การประชุมและในที่ต่างๆ ทั่วโลก บางท่านดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน อีกหลายท่านดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค

ประธานสตีเฟน แอล. ริชาร์ดซึ่งเคยรับใช้เป็นที่ปรึกษาประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ ประกาศว่า “นิยามเรียบง่ายโดยทั่วไปของฐานะปุโรหิตคือ ‘อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่มอบให้ผู้ชาย’” ท่านกล่าวต่อว่า “ข้าพเจ้าคิดว่านิยามดังกล่าวถูกต้อง แต่เพื่อจุดประสงค์ในเชิงปฏิบัติ ข้าพเจ้าชอบให้นิยามของฐานะปุโรหิตในแง่ของการรับใช้ ข้าพเจ้ามักจะเรียกว่า ‘แผนอันสมบูรณ์ของการรับใช้’ … ฐานะปุโรหิตเป็นเครื่องมือในการรับใช้ … และผู้ชายที่ไม่ใช้ฐานะนั้นย่อมมีแนวโน้มที่จะสูญเสีย เพราะการเปิดเผยบอกเราไว้ชัดเจนว่า เขาผู้เพิกเฉยต่อฐานะปุโรหิต ‘จะไม่ทรงนับว่าคู่ควรจะยืนอยู่’1

ในสเตคไพโอเนียร์ซึ่งอยู่ในซอลท์เลคซิตี้ และเป็นที่ที่ข้าพเจ้าได้รับฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค เราได้รับการสอนให้ทำความคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ รวมทั้งภาค 20 ภาค 84 และ ภาค 107 ของหลักคำสอนและพันธสัญญา ในภาคเหล่านี้เราเรียนรู้เกี่ยวกับฐานะปุโรหิตและการปกครองของศาสนจักร

คืนนี้ ข้าพเจ้าประสงค์จะเน้นข้อหนึ่งจากภาค 107 “ดังนั้น, บัดนี้ให้ทุกคนพึงเรียนรู้หน้าที่ของตน, และกระทำในตำแหน่งซึ่งตนได้รับการกำหนดไว้, ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสุดความสามารถ”2

ประธานฮาโรลด์ บี. ลีสอนอยู่บ่อยครั้งว่า “เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิต เขาก็กลายเป็นตัวแทนของพระเจ้า เขาควรนึกถึงการเรียกของตนประหนึ่งว่าเขากำลังทำธุระของพระเจ้า”3

เรายังเรียนรู้จากภาคเหล่านี้ถึงหน้าที่ของฝ่ายประธานโควรัมและความจริงที่ว่านอกเหนือจากตัวเราแล้ว เรายังต้องรับผิดชอบผู้อื่นด้วย

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าศาสนจักรในเวลานี้มั่นคงกว่าแต่ก่อน ระดับความแข็งขันของเยาวชนเป็นพยานว่านี่คือรุ่นที่มีศรัทธาและอุทิศตนต่อความจริง แต่มีบางคนตกข้างทาง เขาพบสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ที่ชักชวนให้เขาละเลยหน้าที่ในศาสนจักร เราต้องไม่ให้จิตวิญญาณล้ำค่าหายไป

นับวันจำนวนผู้หวังเป็นเอ็ลเดอร์ที่ไม่มาการประชุมของศาสนจักรและไม่ทำงานมอบหมายในโบสถ์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ดังกล่าวเยียวยาได้และเราต้องทำ หน้าที่นี้เป็นของเรา เราต้องมอบหมายหน้าที่และลงมือทำโดยไม่ชักช้า

ฝ่ายประธานโควร้มฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ภายใต้การนำของฝ่ายอธิการและผู้ให้คำปรึกษาโควรัม จะต้องได้รับมอบอำนาจให้ผูกมิตรและช่วยเหลือ

พระเจ้าตรัสว่า “จำไว้ว่าค่าของจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า … และปีติของพระองค์ในจิตวิญญาณที่กลับใจใหญ่หลวงเพียงใดเล่า!”4

บางครั้งดูเหมือนงานนั้นน่าหนักใจ เราสามารถเรียกขวัญกำลังใจคืนมาได้จากประสบการณ์ของกิเดโอนสมัยโบราณผู้ต่อสู้กับคนมีเดียนและคนอามาเลขด้วยกองทัพเล็กๆ ของท่าน ท่านคงจำได้ว่า กิเดโอนกับกองทัพเผชิญหน้ากองกำลังมหาศาลที่เป็นต่อทางด้านเครื่องมือและจำนวนคนได้อย่างไร หนังสือผู้วินิจฉัยในพันธสัญญาเดิมบันทึกไว้ว่า ศัตรูที่ผนึกกำลังคนมีเดียนและคนอามาเลขกลุ่มนี้ “นอนอยู่ตามหุบ‍เขา เหมือนตั๊ก‌แตนปา‌ทัง‌ก้าเป็นฝูงๆ ฝูง‍อูฐของเขาก็นับ‍ไม่‍ถ้วน มากดุจเม็ด‍ทรายที่ฝั่ง‍ทะเล”5 กิเดโอนไปทูลขอความเข้มแข็งจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ

ยังความแปลกใจแก่กิเดโอนเมื่อพระเจ้าทรงแนะว่า กองกำลังของท่านมีมากเกินกว่าพระเจ้าจะทรงมอบศัตรูไว้ในมือเขาได้ เกรงเขาจะพูดว่า “มือของข้าเองได้กู้ข้าไว้”6 กิเดโอนได้รับคำสั่งให้แจ้งคนของท่านว่า “คนไหนกลัวจนตัวสั่น ก็ให้ไปกลับเสียจากภูเขากิเลอาด และมีคนกลับไป 22,200 คน และยังเหลืออยู่ 10,000 คน”7

แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ประชาชนยังมากอยู่”8 พระองค์ทรงบอกกิเดโอนให้พาเขาไปที่แม่น้ำเพื่อสังเกตท่าทางที่เขาดื่มน้ำ คนที่เลียน้ำให้อยู่พวกหนึ่ง ส่วนคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำให้อยู่อีกพวกหนึ่ง พระ‍เจ้าตรัสกับกิ‌เด‌โอนว่า “เราจะช่วย‍กู้เจ้าทั้ง‍หลายด้วยจำ‌นวนคนสาม‍ร้อยที่เลียน้ำนั้นและมอบคนมี‌เดียนไว้ในมือของเจ้า นอก‍นั้นให้ทุกคนกลับบ้าน”9

กิเดโอนกลับไปสั่งกองกำลังของท่านว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงมอบกองทัพคนมีเดียนไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว”10 ท่านแบ่งคนสามร้อยออกเป็นสามกลุ่ม และให้ทุกคนถือเขาสัตว์ หม้อเปล่า และมีคบเพลิงอยู่ในหม้อนั้น ท่านสั่ง‍เขาว่า

“จงดูเรา แล้วให้ทำเหมือน‍กัน และนี่‍แน่ะ เมื่อเราไปถึงค่ายด้าน‍นอกแล้ว เราทำอย่าง‍ไรก็จงทำอย่าง‍นั้น

“เมื่อเราเป่าเขา‍สัตว์ คือตัวเรากับทุกคนที่อยู่กับเรา พวก‍เจ้าก็จงเป่าเขา‍สัตว์รับให้รอบค่าย … แล้วร้องว่า ‘เพื่อพระ‍ยาห์‌เวห์และเพื่อกิ‌เด‌โอน’ ” ในทางปฏิบัติท่านสั่งว่า “จงทำตามเรา” คำพูดของท่านจริงๆ คือ “เรากระทำอย่างไรก็จงกระทำอย่างนั้น”11

เมื่อได้สัญญาณจากผู้นำ กองทัพของกิเดโอนก็เป่าเขาสัตว์ ต่อยหม้อให้แตกและร้องว่า “ดาบเพื่อพระยาห์เวห์และเพื่อกิเดโอน” พระคัมภีร์บันทึกผลของสงครามชี้ขาดครั้งนี้ว่า “แต่ละคนก็ยืนอยู่ตามที่ของตน” และประสบชัยชนะ12

การสอนประจำบ้านเป็นส่วนหนึ่งของแผนกู้ภัยในเวลานี้ เมื่อประธานเดวิด โอ. แมคเคย์แนะนำแผนดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด ท่านแนะนำว่า “การสอนประจำบ้านเป็นโอกาสเร่งด่วนที่สุดและสมควรทำที่สุดเพื่อบำรุงเลี้ยงและเป็นแรงบันดาลใจ แนะนำและชี้นำลูกๆ ของพระบิดา … เป็นการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ การเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่ของเราในฐานะผู้สอนประจำบ้านคือ นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาสู่บ้านทุกหลังและใจทุกดวง”13

ในบางพื้นที่ที่มีกำลังฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคไม่เพียงพอ โดยประสานงานกับประธานคณะเผยแผ่ ประธานสเตคและอธิการอาจจะใช้ผู้สอนศาสนาเต็มเวลาไปเยี่ยมครอบครัวที่แข็งขันน้อยหรือมีบางคนเป็นสมาชิก สิ่งนี้ไม่เพียงจุดประกายวิญญาณการสอนศาสนาในบ้านเท่านั้น แต่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ผู้สนใจมีคุณภาพ

เป็นเวลาหลายปีที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมตามสเตคหลายแห่งทั่วโลก เนื่องด้วยความจำเป็นหรือเพื่อตอบรับหน้าที่ ผู้นำวอร์ดและสเตคเหล่านั้นเลิกอิดเอื้อน พับแขนเสื้อขึ้น แล้วออกไปทำงานด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้าเพื่อทำให้ชายล้ำค่ามีคุณสมบัติเหมาะกับฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค และเข้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์พร้อมภรรยาและลูกเพื่อรับเอ็นดาวเม้นท์และการผนึก

ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างสั้นๆ หลายๆ เรื่อง

คราวไปเยี่ยมสเตคมิลครีกในซอลท์เลค ซิตี้เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าทราบมาว่าช่วงปีก่อนนั้นผู้หวังจะเป็นเอ็ลเดอร์กว่าหนึ่งร้อยได้รับการวางมือแต่งตั้งเป็นเอ็ลเดอร์แล้ว ข้าพเจ้าถามเคล็ดลับความสำเร็จจากประธานเจมส์ เคลกก์ แม้เขาจะอ่อนน้อมถ่อมตนเกินกว่าจะบอกว่าเป็นฝีมือตนเอง แต่ที่ปรึกษาคนหนึ่งของเขาเผยว่า โดยที่ทราบดีถึงการท้าทายนี้ ประธานเคลกก์ลงมือโทรศัพท์ด้วยตนเองเพื่อนัดพบผู้หวังเป็นเอ็ลเดอร์แต่ละคน ระหว่างที่พบกัน ประธานเคลกก์จะพูดถึงพระวิหารของพระเจ้า พิธีการแห่งความรอดและพันธสัญญาที่เน้นในพระวิหาร และจะทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า “คุณไม่อยากจะพาภรรยาสุดที่รักและลูกที่ล้ำค่าไปพระนิเวศของพระเจ้าหรือเพื่อคุณจะได้อยู่เป็นครอบครัวชั่วนิรันดร์” การตอบรับก็ตามมา ติดตามด้วยกระบวนการนำกลับสู่ความแข็งขัน เป้าหมายก็บรรลุผล

ในปี 1952 ครอบครัวส่วนใหญ่ในวอร์ดโรสพาร์คที่สามเป็นสมาชิกที่บิดาหรือสามีดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนเท่านั้น แทนที่จะดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค บราเดอร์แอล. เบรนท์ โกทส์ได้รับเรียกให้รับใช้เป็นอธิการ ท่านเชิญบราเดอร์ที่แข็งขันน้อยคนหนึ่งในวอร์ดชื่อเออร์เนสต์ สกินเนอร์ ไปช่วยทำให้บราเดอร์อีก 29 คนในวอร์ดแข็งขัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผู้ใหญ่และดำรงตำแหน่งผู้สอนในฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน และช่วยให้ชายเหล่านี้กับครอบครัวไปพระวิหาร โดยที่ตัวเขาเป็นสมาชิกที่แข็งขันน้อย ตอนแรกบราเดอร์สกินเนอร์ลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะทำเท่าที่ทำได้ เขาเริ่มไปเยี่ยมผู้ใหญ่แข็งขันน้อยที่เป็นผู้สอน พยายามช่วยให้คนเหล่านั้นเห็นบทบาทของตนในฐานะผู้นำฐานะปุโรหิตในบ้าน และในฐานะสามีและบิดาของครอบครัว ไม่นานเขาก็เกณฑ์บราเดอร์ที่แข็งขันน้อยบางคนมาช่วยงานมอบหมายของเขา คนเหล่านั้นกลับมาแข็งขันทีละคนและนำครอบครัวไปพระวิหาร

วันหนึ่ง พนักงานวอร์ดออกจากแถวชำระค่าสินค้ามาทักทายคนที่ไปพระวิหารเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม เมื่อพูดถึงการเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม ชายคนนั้นกล่าวว่า “ผมยืนดูอยู่ข้างๆ ขณะที่ทุกคนในกลุ่มกลับมาแข็งขันในวอร์ดและไปพระวิหาร ถ้าผมจินตนาการได้ว่าในพระวิหารสวยงามขนาดไหน และจะเปลี่ยนชีวิตผมตลอดกาลได้อย่างไร ผมคงไม่ยอมเป็นคนสุดท้ายของ 29 คนที่ไปผนึกในพระวิหารเป็นแน่”

จากเรื่องที่เล่ามา มีองค์ประกอบสี่อย่างที่นำเขาไปสู่ความสำเร็จ

  1. โอกาสนำกลับสู่ความแข็งขันที่ทำในระดับวอร์ด

  2. อธิการวอร์ดเข้ามาเกี่ยวข้อง

  3. จัดหาผู้สอนที่มีคุณสมบัติและได้รับการดลใจ

  4. ให้ความสนใจเป็นรายบุคคล

พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เราจดจำคำแนะนำของกษัตริย์เบ็นจามินที่ว่า “เมื่อท่านอยู่ในการรับใช้เพื่อนมนุษย์ของท่าน ท่านก็อยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของท่านนั่นเอง.”14

ขอให้เราเอื้อมมือออกไปช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ยกเขาให้สูงขึ้นและดีขึ้น ขอให้เรามุ่งความคิดไปที่ความต้องการของผู้ดำรงฐานะปุโรหิตตลอดจนภรรยาและลูกๆ ของเขาซึ่งลื่นไถลออกจากเส้นทางความแข็งขัน ขอให้เราฟังข่าวสารที่มิได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดจากใจเขา:

พาฉันนำฉันเดินเคียงข้างฉัน

ช่วยฉันให้พบทาง

สอนฉันทุกอย่างที่ต้องทำ

เพื่อพำนักกับพระอีก15

งานนำกลับสู่ความแข็งขันไม่ใช่งานสำหรับคนเกียจคร้านหรือคนช่างฝัน เด็กๆ เติบโต ผู้ใหญ่อายุมากขึ้น และเวลาไม่คอยท่า อย่าหน่วงเหนี่ยวการกระตุ้นเตือน แต่จงทำตามนั้น และพระเจ้าจะทรงเปิดทาง

บ่อยครั้งเราต้องอาศัยคุณธรรมอันสูงส่งของความอดทน สมัยเป็นอธิการ วันหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนให้ไปเยี่ยมชายคนหนึ่งซึ่งภรรยากับลูกของเขาค่อนข้างแข็งขัน แต่ชายผู้นี้ไม่เคยตอบรับเลย วันนั้นเป็นวันที่ร้อนมากในฤดูร้อน ข้าพเจ้าเคาะประตูมุ้งลวดของฮาโรลด์ จี. กอลลาเชอร์ ข้าพเจ้าเห็นบราเดอร์กอลลาเชอร์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เก้าอี้ “ใครน่ะ” เขาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“อธิการของคุณครับ” ข้าพเจ้าตอบ “ผมมาทำความรู้จักและอยากให้คุณกับครอบครัวไปร่วมการประชุมกับเรา”

“ไม่ละ ผมมีงานเยอะ” เขาตอบอย่างดูแคลน เขาไม่เงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้าขอบคุณที่เขาฟังแล้วเดินจากไป

ครอบครัวกอลลาเชอร์ย้ายไปแคลิฟอร์เนียอีกไม่นานหลังจากนั้น หลายปีผ่านไป ตอนนั้นข้าพเจ้าเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง วันหนึ่งข้าพเจ้าทำงานอยู่ในห้องทำงาน เลขาโทรเข้ามาบอกว่า “บราเดอร์กอลลาเชอร์ค่ะ คนที่เคยอยู่ในวอร์ดท่านอยากจะคุยด้วย ตอนนี้เขาอยู่ในห้องทำงานของดิฉัน”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ถามดูซิว่าเขาชื่อฮาโรลด์ จี. กอลลาเชอร์ใช่ไหม คนที่เคยอยู่วิสซิงเพลซระหว่างถนนเวสต์เทมเปิลกับถนนเซาท์เทมเปิลกับครอบครัวของเขา”

เธอตอบว่า “ค่ะ เขาคือชายคนนั้น”

ข้าพเจ้าขอให้เธอพาเข้ามา เราคุยกันเกี่ยวกับครอบครัวเขาอย่างมีความสุข เขาบอกว่า “ผมมาขอโทษที่ไม่ได้ลุกจากเก้าอี้มาเปิดประตูให้ท่านในฤดูร้อนวันนั้นเมื่อหลายปีก่อน” ข้าพเจ้าถามว่าเขาแข็งขันในศาสนจักรหรือไม่ เขายิ้มพลางตอบว่า “ผมเป็นที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายอธิการครับ คำเชื้อเชิญให้ไปโบสถ์ของท่านกับคำตอบปฏิเสธของผมวนเวียนอยู่ในสมองจนผมต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง”

ข้าพเจ้ากับฮาโรลด์ไปมาหาสู่กันหลายครั้งก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ครอบครัวกอลลาเชอร์กับลูกๆ ของเขาทำงานการเรียกมากมายในศาสนจักร หลานคนเล็กสุดขณะนี้กำลังรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา

สำหรับผู้สอนศาสนาจำนวนมากที่อาจจะฟังในค่ำนี้ ข้าพเจ้าบอกท่านว่า เมล็ดพันธุ์แห่งประจักษ์พยานมักจะไม่หยั่งรากและออกผลในทันที เมล็ดข้าวที่หว่านลงบนน้ำจะลอยขึ้นมาเมื่อถึงเวลา แต่ต้องหลังจากนั้นอีกหลายวัน แต่มันจะลอยขึ้นมา

ข้าพเจ้ารับโทรศัพท์ในค่ำวันหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงถามว่า “คุณเป็นญาติของเอ็ลเดอร์มอนสันที่รับใช้ในคณะเผยแผ่นิวอิงแลนด์เมื่อหลายปีก่อนใช่หรือเปล่าครับ”

ข้าพเจ้าตอบว่านั่นไม่ใช่ประเด็น เขาแนะนำตัวว่าชื่อบราเดอร์ลีโอนาร์โด แกมบาร์เดลลา จากนั้นก็บอกว่าเอ็ลเดอร์มอนสันกับเอ็ลเดอร์บอนเนอร์แวะมาที่บ้านเขานานแล้วและแสดงประจักษ์พยานให้เขากับภรรยาฟัง ทั้งสองฟังแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นเพื่อประยุกต์คำสอนของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาย้ายไปแคลิฟอร์เนีย ที่นั่นประมาณ 13 ปีต่อมาพวกเขาได้พบความจริงอีกครั้งและได้เปลี่ยนใจเลื่อมใสและรับบัพติศมา จากนั้นบราเดอร์แกมบาร์เดลลาก็ถามว่า พอมีทางให้เขาได้พบเอ็ลเดอร์คนแรกที่มาเยี่ยมเขาไหม เพื่อเขาจะได้แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อประจักษ์พยานของคนทั้งสอง ซึ่งยังคงอยู่กับเขาและภรรยา

ข้าพเจ้าตรวจสอบบันทึก ข้าพเจ้าพบที่อยู่ของเอ็ลเดอร์ ท่านคงนึกภาพออกถึงความแปลกใจของเอ็ลเดอร์ทั้งสองเมื่อข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปหาเขาและบอกข่าวดีให้ทราบ—ซึ่งก็คือผลงานที่ทำไว้แต่กาลก่อน ตอนนี้ทั้งสองแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาจำครอบครัวแกมบาร์เดลลาได้ทันที ข้าพเจ้าจัดแจงให้ได้คุยกันทางโทรศัพท์เพื่อทั้งสองจะได้แสดงความยินดีและต้อนรับครอบครัวดังกล่าวเข้าสู่ศาสนจักร พวกเขาคุยกัน มีน้ำตา แต่เป็นน้ำตาแห่งความปีติยินดี

เอดวิน มาร์คแฮมประพันธ์ไว้ดังนี้

มีจุดหมายของความเป็นพี่น้อง

ไม่มีใคร ไปเพียงลำพัง

ทั้งหมดที่เราส่งไปในชีวิตผู้อื่น

ย่อมหวนคืนสู่ตัวเรา16

คืนนี้ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราทุกคนที่ดำรงฐานะปุโรหิตสำนึกในความรับผิดชอบของตน เพื่อเรา เช่นเดียวกับกิเดโอนสมัยก่อน จะทำให้ชายทุกคนยืนในที่ซึ่งกำหนดไว้ให้เขา และทำตามผู้นำของเราแม้พระเจ้าพระเยซูคริสต์และศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงลีย์ ขอให้เราผูกมิตรและช่วยเหลือคนที่ตกข้างทาง เพื่อไม่ให้จิตวิญญาณล้ำค่าดวงใดหายไป

ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน