เสริมสร้างความสัมพันธ์ของท่านกับพระเยซูคริสต์ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
ทุกวันใหม่คือโอกาสที่จะสัมผัสกับปีติและสันติสุขที่เป็นไปได้เพราะพระองค์
แม้ว่าเราจะไม่สามารถทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละวันของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เราสามารถเรียนรู้จากแบบอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงแสดงตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ ขยายแต่ละหัวข้อด้านล่างเพื่อสัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ประจำวัน
ในวันอาทิตย์ใบลาน พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ขณะที่เหล่าผู้ติดตามของพระองค์โบกใบลานและปูเสื้อคลุมบนเส้นทางที่พระองค์เสด็จ พวกเขารายล้อมพระเยซูด้วยความรักและการสรรเสริญ พร้อมร้องว่า “โฮซันนา” ซึ่งหมายถึง “โปรดช่วยเราให้รอดเถิด” หลายคนในหมู่ผู้ติดตามของพระเยซูคาดหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากการปกครองของโรม แต่เป้าหมายของพระองค์นั้นเป็นนิรันดร์กว่า พระเยซูทรงมาในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อการปลดปล่อยทางการเมือง แต่เพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งมวลให้พ้นจากบาปและความตาย
อ่านและไตร่ตรอง
ท่านจะสามารถแสวงหาและติดตามพระเยซูคริสต์ในแต่ละวันได้อย่างไร?
พระเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
ในช่วงเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ได้เสด็จไปยังพระวิหาร ที่นั่น ในพระนิเวศพระบิดาของพระองค์ พระเยซูทรงพบพวกซื้อขายหลายคนกำลังทำการค้าอยู่ พระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนใจที่เห็นสถานที่สำหรับการนมัสการถูกทำลายความศักดิ์สิทธิ์และถูกเปลี่ยนให้เป็น “ถ้ำของพวกโจร” (มาระโก 11:17) พระเยซูทรงเปล่งเสียงด้วยสิทธิอำนาจอันเด่นชัดและทรงสั่งให้พวกซื้อขายและคนรับแลกเงินออกไปจากที่นั่น
อ่านและไตร่ตรอง
ท่านจะสามารถชำระใจและความนึกคิดของตนเองให้พร้อมรับฟังคำสอนของพระเยซูได้อย่างไร?
พระคริสต์ทรงชำระพระวิหาร
ในกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางผู้สนับสนุนและผู้วิพากษ์วิจารณ์ แต่ในฐานะพระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้โอกาสในการแบ่งปันความจริงนิรันดร์สูญเปล่า ในสัปดาห์สุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงสอนคำสอนที่ทรงคุณค่ายิ่งบางข้อ แต่ถ้อยคำของพระองค์ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้คนในเวลานั้นเท่านั้น คำสอนของพระองค์ตลอดการปฏบัติศาสนกิจทั้งหมดสามารถเป็นพรแก่ชีวิตของเราได้เช่นกัน รับชมอุปมาเรื่องราวบางส่วนของพระองค์ด้านล่าง
อ่านและไตร่ตรอง
ท่านจะสามารถนำบทเรียนจากพระคัมภีร์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของตนเองได้อย่างไร?
อุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน
อุปมาเรื่องเงินตะลันต์
ท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งนี้แก่เรา
ในช่วงพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก พระเยซูคริสต์ทรงสอนถึงความสำคัญของการรักพระผู้เป็นเจ้าและการรักผู้อื่น
“จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” —มัทธิว 22:37–39
พระเยซูทรงสอนว่าความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อเพื่อนบ้านเป็นรากฐานของพระกิตติคุณของพระองค์ ในช่วงท้ายของการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ พระองค์ทรงขยายคำสอนนี้เพิ่มเติมโดยตรัสว่า: “เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:34–35) เมื่อเรามีความรักต่อกันและกัน นั่นจะง่ายต่อการเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น—เราจะมีความอดทน การให้อภัย และความเมตตากรุณาต่อผู้คนรอบตัวเรามากขึ้น
อ่านและไตร่ตรอง
ความรักที่ท่านมีต่อพระผู้เป็นเจ้าช่วยให้ท่านรักและรับใช้ผู้อื่นได้อย่างไร?
พระบัญญัติที่สำคัญที่สุด
พระเยซูทรงถือปฏิบัติวันศักดิ์สิทธิ์ของเทศกาลปัสกากับเหล่าอัครสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์แห่งศีลระลึก ซึ่งเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์ได้รับเชิญให้รับประทานและดื่มเพื่อระลึกถึงพระองค์ พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับอำนาจอันปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเมื่อทรงทราบว่าเวลาของพระองค์กับพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลง พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขารักกันและกันเหมือนที่พระองค์ทรงรักพวกเขา พระองค์ตรัสว่าความรักนั้นจะเป็นเครื่องหมายให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเขาเป็นสานุศิษย์ของพระองค์
หลังจากสิ่งที่มักถูกเรียกว่าพระกระยาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูตรัสสั่งเหล่าอัครสาวกให้ติดตามพระองค์ในยามค่ำคืนไปยังสวนอันเงียบสงบชื่อเกทเสมนี แม้ว่าพระอาจารย์จะขอให้พวกเขาตื่นเพื่ออยู่กับพระองค์ แต่เหล่าสาวกที่เหนื่อยล้าก็เผลอหลับไป พระเยซูทรงอยู่เพียงลำพังและเริ่มสวดอ้อนวอน พระองค์ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันเกินจะเข้าใจได้ ที่นั่นในสวน พระองค์ทรงเริ่มแบกรับบาปและความเจ็บปวดของโลก นั่นเป็นการเริ่มต้นของการเสียสละที่จะไปถึงจุดสูงสุดในวันถัดไปบนไม้กางเขนที่กลโกธา
ในคืนนั้น ยูดาส อิสคาริโอททรยศพระผู้ช่วยให้รอดโดยมอบพระองค์ให้แก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งจับกุมพระเยซูและนำพระองค์ไปยังบ้านของคายาฟาส มหาปุโรหิต ที่นั่น พระเยซูทรงรอการพิจารณาคดีของพระองค์จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
อ่านและไตร่ตรอง
พระเยซูทรงสถาปนาศีลระลึกเพื่อให้เราระลึกถึงพระองค์และการเสียสละของพระองค์อยู่เสมอ ท่านจะสามารถถวายเกียรติและระลึกถึงพระองค์ในแต่ละวันได้อย่างไร?
พระกระยาหารมื้อสุดท้าย
พระผู้ช่วยให้รอดทรงทนทุกข์ในเกทเสมนี
หลังจากการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมหลายครั้ง พระเยซูคริสต์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขน ทหารโรมันเย้ยหยันและโบยตีพระองค์ก่อนจะตรึงพระองค์ไว้บนกางเขน แต่แทนที่จะทรงประณามพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงอ้อนวอนต่อพระบิดาว่า “ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34) แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด พระเยซูทรงกล่าวถึงความรักและการไถ่โทษ ด้วยลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ พระเยซูทรงตรัสกับพระบิดาว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30)
คำพยานอันไม่คาดคิดมาจากนายร้อยชาวโรมันและผู้ที่อยู่กับเขา: “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” (มัทธิว 27:54) การตระหนักรู้นี้ยังคงสร้างความยำเกรงมาจนถึงปัจจุบัน
อ่านและไตร่ตรอง
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างสูงสุดของการให้อภัย ท่านจะสามารถให้อภัยตนเองและผู้อื่นในชีวิตของท่านได้มากขึ้นอย่างไร?
พระเยซูทรงถูกตัดสินลงโทษต่อหน้าปีลาต
พระเยซูทรงถูกโบยตีและถูกตรึงกางเขน
ยากที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ใจที่เหล่าสาวกของพระเยซูคริสต์ต้องเผชิญในวันถัดมาหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คืนก่อนหน้านั้น พระศพของพระองค์ถูกจัดเตรียมอย่างรักใคร่และนำไปวางไว้ในอุโมงค์ในสวน ตอนนี้พวกเขาต้องพยายามหาทางที่จะดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีพระองค์ แน่นอนว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้พรากบางสิ่งไปจากพวกเขา แต่สิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปนั้นไม่มีอะไรเทียบได้กับทุกสิ่งที่พระชนม์ชีพของพระองค์ได้มอบให้ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ พระเยซูคริสต์ได้เปิดเส้นทางใหม่สำหรับทุกคนที่ติดตามพระองค์ เส้นทางที่ส่องสว่างด้วยความหวังที่เจิดจ้ายิ่งกว่าความมืดใดที่เราอาจเผชิญ
อ่านและไตร่ตรอง
พระเยซูเคยช่วยท่านค้นพบการปลอบโยนในช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อใด?
พระเยซูทรงถูกวางไว้ในอุโมงค์เก็บพระศพ
เช้าตรู่วันหนึ่ง มารีย์ชาวมักดาลา ผู้เป็นเพื่อนและผู้ติดตามของพระเยซู ได้เดินทางมาที่อุโมงค์เพื่อดูแลพระศพของพระเยซูคริสต์ แต่เธอตกตะลึงเมื่อพบว่าอุโมงค์ว่างเปล่า ต่อมา ขณะที่เธอร้องไห้อยู่ข้างนอกอุโมงค์ มีชายคนหนึ่งพูดกับเธอ—เธอคิดว่าเป็นคนทำสวน แต่แล้วทรงเรียกชื่อของเธอว่า “มารีย์” และเธอก็เห็นพระองค์ นั่นคือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระชนม์อีกครั้ง ความรู้สึกนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยาย ศรัทธาของเธอกระตุ้นให้เธอวิ่งอย่างมีความสุขขณะที่เธอวิ่งไปบอกคนอื่นๆ
เป็นประจักษ์พยานที่ยังคงขับเคลื่อนผู้คนในปัจจุบัน ท่านสามารถรู้ได้เช่นเดียวกับเธอว่า พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ เพราะพระองค์ ทุกคนจะมีชีวิตอีกครั้ง หากเราติดตามพระคริสต์ เราจะพบความสุขที่แท้จริงบนโลกนี้ และคาดหวังความสุขนิรันดร์ในชีวิตที่จะมาถึง
ขอขอบคุณที่ร่วมติดตามกับเราตลอดสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ท่านอ่านข้อพระคัมภีร์ด้านล่างนี้ ขอให้ท่านใคร่ครวญถึงสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ในสัปดาห์นี้
อ่านและไตร่ตรอง
ท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านนึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์?
ข่าวประเสริฐ
มัทธิว 21:1–11
1 เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มกับบรรดาสาวกถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน
2 มีรับสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า แล้วจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้และจูงมาให้เรา
3 ถ้ามีใครพูดอะไร ท่านทั้งสองจงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านมีพระประสงค์’ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที”
4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า
5 “จงบอกชาวศิโยนว่า นี่แน่ะ กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมา ด้วยความสุภาพอ่อนโยน พระองค์ทรงลา ทรงลูกลา”
6 สาวกทั้งสองคนนั้นก็ไปทำตามที่พระเยซูตรัสสั่ง
7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง และพระองค์ก็ทรงลานั้น
8 ฝูงชนจำนวนมาก เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน
9 ฝูงชนที่เดินไปข้างหน้าพระองค์ กับพวกที่ตามมาข้างหลังก็โห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่บุตรของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด”
10 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า “นี่ใครกัน?”
11 ฝูงชนก็ตอบว่า “นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะที่มาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี”
ลูกา 19:29–44
29 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานี มาถึงภูเขาที่เรียกว่ามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน
30 สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลยผูกไว้ จงแก้มันจูงมาเถิด
31 ถ้ามีใครถามว่า ‘ท่านแก้มันทำไม?’ จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์จะใช้มัน’ ”
32 สาวกสองคนนั้นก็พบเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสกับเขา
33 ขณะที่เขากำลังแก้ลูกลาอยู่นั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “ท่านแก้ลูกลาทำไม?”
34 เขาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์จะใช้มัน”
35 แล้วเขาก็จูงลูกลามาหาพระเยซู เอาเสื้อของตนปูบนหลังลา แล้วเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น
36 ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนเอาเสื้อผ้าของตนปูตามหนทาง
37 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางที่จะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว พวกสาวกทุกคนก็มีความชื่นชมยินดีเพราะมหกิจทั้งหลายที่พวกเขาเห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง
38 ว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้เสด็จมา ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ ขอให้มีสันติในสวรรค์ และพระเกียรติในที่สูงสุด”
39 แต่ฟาริสีบางคนในฝูงชนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ จงห้ามพวกสาวกของท่าน”
40 พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกพวกท่านว่า แม้คนพวกนี้จะนิ่งเงียบ แต่ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”
41 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น
42 ตรัสว่า “โอ เราอยากให้ตัวเจ้ารู้ในเวลานี้ว่าสิ่งใดสร้างสันติ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว
43 เพราะว่าเวลานั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อพวกศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน
44 แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน ทั้งตัวเจ้าและลูกๆ ที่อยู่ข้างในเจ้า และพวกเขาจะไม่ปล่อยให้มีศิลาซ้อนทับกันไว้ข้างในเจ้า เพราะเจ้าไม่รับรู้วันเวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า”
มาระโก 11:15–18
15 เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร แล้วลงมือขับไล่บรรดาคนซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงินและคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ
16 ทรงห้ามใครขนสิ่งใดๆ เดินลัดบริเวณพระวิหาร
17 พระองค์ตรัสสอนว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘นิเวศ ของเราจะได้ชื่อว่านิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลาย’ แต่ท่านทั้งหลายได้ทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร”
18 เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทราบเรื่องนี้ จึงหาทางที่จะฆ่าพระองค์ เพราะพวกเขากลัวพระองค์ เนื่องจากฝูงชนทั้งหมดประหลาดใจในคำสั่งสอนของพระองค์
มัทธิว 22:36–40
36 “ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?”
37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’และด้วยสุดความคิดของท่าน
38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”
มัทธิว 25:34–45
34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก
35 เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา
36 เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’
37 เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะกราบทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและจัดให้เสวยหรือทรงกระหายน้ำ และจัดมาถวายนั้นตั้งแต่เมื่อไร?
38 ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร?
39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือทรงถูกจำคุก และมาเฝ้าพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’
40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’
41 แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘พวกท่านผู้ถูกแช่งสาปจงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและบริวารของมัน
42 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ พวกท่านก็ไม่ได้ให้เราดื่ม
43 เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องถูกจำคุก พวกท่านก็ไม่ได้เยี่ยมเรา’
44 แล้วพวกเขาจะทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือทรงกระหายน้ำ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือทรงเปลือยพระกาย ประชวรหรือทรงถูกจำอยู่ในคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’
45 เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย’
ยอห์น 15:9–12
9 พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา
10 ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์
11 เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม
12 “บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน
มัทธิว 22:34–40
34 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระองค์ทรงทำให้พวกสะดูสีนิ่งอั้นอยู่ จึงประชุมกัน
35 มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งในพวกเขามาทดสอบพระองค์ว่า
36 “ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?”
37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’และด้วยสุดความคิดของท่าน
38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”
ลูกา 22:14–20, 39–54
14 เมื่อถึงเวลา พระองค์ประทับลงและเสวยพร้อมกับพวกอัครทูต
15 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับประทานปัสกานี้กับท่านก่อนที่เราจะต้องทนทุกข์
16 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกานั้นในแผ่นดินของพระเจ้า”
17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม
18 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา”
19 พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักส่งให้พวกเขา ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา [ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา”
20 เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา]
39 พระองค์เสด็จออกไปที่ภูเขามะกอกเทศตามเคย และพวกสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป
40 เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง”
41 แล้วพระองค์เสด็จไปจากพวกเขาไกลเท่าระยะหินขว้าง และทรงคุกเข่าลงอธิษฐาน
42 ว่า “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
43 [มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์
44 เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์ พระองค์ก็ยิ่งทรงอธิษฐานอย่างจริงจัง เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน]
45 เมื่อทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐานแล้ว พระองค์เสด็จมาหาพวกสาวก พบว่าพวกเขาหลับไปด้วยความทุกข์โศกเศร้า
46 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “หลับอยู่ทำไม? จงลุกขึ้นอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง”
47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ นี่แน่ะ มีคนจำนวนมากและคนที่ชื่อยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนั้นนำหน้าพวกเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจูบพระองค์
48 แต่พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ยูดาส ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?”
49 เมื่อพวกสาวกของพระองค์เห็นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกข้าพระองค์เอาดาบสู้ไหม?”
50 คนหนึ่งในพวกสาวกฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูข้างขวาขาด
51 แต่พระเยซูตรัสว่า “พอเสียทีเถอะ” แล้วพระองค์ทรงแตะต้องใบหูของคนนั้นและทรงรักษาเขา
52 พระเยซูตรัสกับพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า “พวกท่านเห็นเราเป็นโจรหรือ ถึงได้ถือดาบถือตะบองออกมา?
53 เวลาที่เราอยู่กับพวกท่านในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านไม่ยอมยื่นมือออกมาจับเรา อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเวลาของพวกท่าน และเป็นอำนาจของความมืด”
54 พวกเขาก็จับพระองค์พาเข้าไปในบ้านของมหาปุโรหิต เปโตรติดตามพระองค์ไปห่างๆ
มัทธิว 26:36–57
36 แล้วพระเยซูทรงพาสาวกทั้งหลายมายังที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าเกทเสมนี แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราไปอธิษฐานที่โน่น”
37 พระองค์ก็ทรงพาเปโตรกับบุตรทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและทรงทุกข์ใจอย่างยิ่ง
38 จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงอยู่ที่นี่และเฝ้าระวังกับเรา”
39 แล้วทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
40 แล้วพระองค์เสด็จกลับมาหาพวกสาวก ทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งหลายนอนหลับอยู่ พระองค์ตรัสกับเปโตรว่า “เป็นอย่างไรนะ พวกท่านจะเฝ้าระวังอยู่กับเราสักชั่วโมงไม่ได้หรือ?
41 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”
42 พระองค์จึงเสด็จไปทรงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
43 เมื่อเสด็จกลับมาอีกก็ทอดพระเนตรเห็นบรรดาสาวกนอนหลับอยู่ เพราะตาของพวกเขาลืมไม่ขึ้น
44 จึงเสด็จไปจากพวกเขา เสด็จไปทรงอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม ทูลขอเหมือนคราวก่อนๆ อีก
45 แล้วเสด็จมายังพวกสาวกตรัสว่า “พวกท่านยังจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ? นี่แน่ะ เวลามาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป
46 ลุกขึ้นไปกันเถิด คนที่ทรยศเรามาใกล้แล้ว”
47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสที่เป็นหนึ่งในกลุ่มสิบสองคนก็มาถึง พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนซึ่งถือดาบ ถือไม้ตะบองมา
48 คนที่ทรยศพระองค์ก็ให้สัญญาณกับพวกเขาว่า “เราจูบคำนับใครก็คือคนนั้นแหละ จงจับเขาไว้”
49 แล้วยูดาสก็ตรงมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “สวัสดีพระอาจารย์” แล้วจูบพระองค์
50 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด” แล้วพวกเขาก็เข้ามาและลงมือจับกุมพระเยซู
51 คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูก็ยื่นมือออกชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด
52 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย เพราะว่าพวกที่ใช้ดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ
53 ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที
54 แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?”
55 ในเวลานั้นพระเยซูตรัสกับกลุ่มชนว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือ ถึงได้ถือดาบถือตะบองออกมาจับเรา เรานั่งสั่งสอนในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านก็ไม่ได้จับเรา
56 แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะเขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์ และพากันหนีไป
57 พวกคนที่จับพระเยซูก็พาพระองค์ไปถึงบ้านคายาฟาสมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ที่บรรดาธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ประชุมกันอยู่
มัทธิว 26:59–75
59 พวกหัวหน้าปุโรหิตกับสมาชิกสภายิวทั้งหมดก็หาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซูเพื่อจะประหารพระองค์เสีย
60 แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนมาให้การก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ ในที่สุดมีสองคนมาให้การ
61 ว่า “คนนี้กล่าวว่าเขาสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน”
62 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า “เจ้าจะไม่แก้ตัวในข้อหาที่พวกเขาเป็นพยานกล่าวหาเจ้าหรือ?”
63 แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ท่านมหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่”
64 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านได้พูดแล้ว แต่เราจะบอกท่านทั้งหลายด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็น บุตรมนุษย์ ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ ”
65 แล้วมหาปุโรหิตก็ฉีกเสื้อของตนกล่าวว่า “เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เราต้องการพยานอะไรอีก ท่านก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว
66 พวกท่านคิดอย่างไร?” พวกเขาตอบว่า “เขาสมควรตาย”
67 แล้วพวกเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์และทุบตีพระองค์ บางคนก็ตบพระองค์
68 แล้วกล่าวว่า “เจ้าพระคริสต์ จงทำนายให้เรารู้ซิว่าใครตีเจ้า”
69 เปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย”
70 แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งหมดว่า “ที่เจ้าพูดนั้นข้าไม่รู้เรื่อง”
71 เมื่อเปโตรออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งเห็นเขาจึงบอกคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้เคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ”
72 เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานด้วยว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น”
73 อีกสักครู่หนึ่ง คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นก็มาพูดกับเปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ เพราะว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง”
74 เปโตรก็เริ่มสบถสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ทันใดนั้นไก่ก็ขัน
75 เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก
มัทธิว 27:1–61
1 พอรุ่งเช้า พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของประชาชนก็ปรึกษากันเรื่องพระเยซู เพื่อจะฆ่าพระองค์
2 พวกเขาจึงมัดพระองค์พาไปมอบไว้กับปีลาตเจ้าเมือง
3 เมื่อยูดาสคนที่ทรยศพระองค์เห็นว่าพระองค์ทรงถูกลงโทษก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่
4 กล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำบาปที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” พวกเขาจึงกล่าวว่า “มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง”
5 ยูดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป แล้วออกไปผูกคอตาย
6 พวกหัวหน้าปุโรหิตจึงเก็บเงินนั้นมาแล้วกล่าวว่า “ถ้าเก็บเงินนี้ไว้ในคลังพระวิหารก็ผิดพระบัญญัติ เพราะเป็นเงินที่เปื้อนเลือด”
7 เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันแล้วตกลงว่า ให้เอาเงินนั้นไปซื้อทุ่งช่างหม้อสำหรับฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง
8 เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกทุ่งนั้นว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้
9 ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “พวกเขารับเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นราคาของผู้นั้น ที่เผ่าพันธุ์อิสราเอลตีราคาไว้
10 แล้วไปซื้อทุ่งช่างหม้อ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระบัญชาข้าพเจ้า”
11 เมื่อพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงถามว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดถูกแล้ว”
12 แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสตอบประการใด
13 ปีลาตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเป็นพยานกล่าวหาเจ้าหรือ?”
14 แต่พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบสักคำเดียว เจ้าเมืองจึงประหลาดใจยิ่งนัก
15 ในช่วงเทศกาล เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ฝูงชนต้องการ
16 เวลานั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์อยู่รายหนึ่งชื่อบารับบัส
17 เมื่อทุกคนมาประชุมพร้อมกันแล้ว ปีลาตก็ถามเขาทั้งหลายว่า “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยคนไหน บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?”
18 เพราะท่านรู้แล้วว่าพวกเขามอบตัวพระองค์ไว้เพราะความอิจฉา
19 ในขณะที่ปีลาตนั่งว่าราชการอยู่นั้น ภรรยาของท่านใช้คนมาเรียนว่า “อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย เพราะว่าวันนี้ดิฉันไม่สบายใจมากเนื่องด้วยความฝันที่เกี่ยวกับคนนั้น”
20 แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ก็ยุยงฝูงชนให้ขอปล่อยบารับบัส และประหารพระเยซูเสีย
21 เจ้าเมืองจึงถามพวกเขาว่า “ในสองคนนี้พวกเจ้าจะให้เราปล่อยคนไหน?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส”
22 ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” พวกเขาพากันร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน”
23 เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม? เขาทำผิดอะไร?” แต่พวกเขายิ่งร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน”
24 เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การ มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้ พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด”
25 ฝูงชนทั้งหมดก็ร้องว่า “ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา”
26 ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา และเมื่อโบยตีพระเยซูแล้วก็มอบตัวให้ตรึงไว้ที่กางเขน
27 พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในกองบัญชาการปรีโทเรียม และรวมทหารทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระองค์
28 แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์
29 เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ”
30 แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์
31 เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน
32 เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป
33 เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ
34 เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย
35 เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน
36 แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น
37 และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว”
38 เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
39 คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย
40 ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด”
41 พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า
42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง
43 เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
44 แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย
45 แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง
46 พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า
47 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์”
48 ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย
49 แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่”
50 และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์
51 และนี่แน่ะ ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน
52 อุโมงค์ฝังศพต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา
53 และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก
54 แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ”
55 ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล
56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี
57 เมื่อถึงเวลาพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู
58 เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา
59 โยเซฟก็เชิญพระศพลงและเอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มไว้
60 แล้วเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนที่สกัดไว้ในศิลา และกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป
61 มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์
ยอห์น 14:15–16, 26–27
15 “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา
16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป
26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว
27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย
มัทธิว 27:55–61
55 ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล
56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี
57 เมื่อถึงเวลาพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู
58 เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา
59 โยเซฟก็เชิญพระศพลงและเอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มไว้
60 แล้วเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนที่สกัดไว้ในศิลา และกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป
61 มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์
ยอห์น 14:26–27
26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว
27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย
ยอห์น 20:1–18
1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว
2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
3 เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น
4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
7 ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ
9 แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย
10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน
11 ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์
12 และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท
13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน”
14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์
15 พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป”
16 พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์)
17 พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน”
18 มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง
1 โครินธ์ 15:20–22
20 แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป
21 เพราะว่าในเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง การเป็นขึ้นจากความตายก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
22 เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์