พระคัมภีร์
โมเสส 7


บทที่ ๗

(เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๘๓๐)

เอโนคสอน, นำผู้คน, และเคลื่อนย้ายภูเขา—นครแห่งไซอันได้รับการสถาปนา—เอโนคมองเห็นล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์, และการฟื้นคืนชีวิตของวิสุทธิชน—เขามองเห็นล่วงหน้าถึงการฟื้นฟู, การรวบรวม, การเสด็จมาครั้งที่สอง, และการกลับคืนของไซอัน.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคกล่าววาทะของเขาต่อไป, โดยกล่าวว่า : ดูเถิด, อาดัมบิดาเราสอนเรื่องเหล่านี้, และหลายคนเชื่อและมาเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, และหลายคนหาได้เชื่อไม่, และตายในบาปของพวกเขา, และเฝ้ารอด้วยความหวาดกลัว, ในความทรมาน, ถึงความเคืองแค้นดังเพลิงแห่งพระพิโรธของพระผู้เป็นเจ้าที่จะเทลงบนพวกเขา.

และนับแต่เวลานั้นมาเอโนคเริ่มพยากรณ์, โดยกล่าวแก่ผู้คน, ว่า : ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทาง, และยืนอยู่บนสถานที่ เมหุยาห์, และร้องทูลพระเจ้า, มีพระสุรเสียงมาจากสวรรค์, ตรัสว่า—เจ้าจงหันกลับไป, และเจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาสิเมโอน.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้าหันกลับไปและขึ้นไปบนภูเขา; และขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่บนภูเขา, ข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์เปิด, และรัศมีภาพห่อหุ้มข้าพเจ้าไว้;

และข้าพเจ้าเห็นพระเจ้า; และพระองค์ทรงยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า, และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า, แม้ดังคนคนหนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่ง, ตรงหน้า; และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า : จงดูเถิด, และเราจะให้เจ้าเห็นโลกในระยะเวลาต่อเนื่องกันหลายรุ่น.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ ข้าพเจ้ามองเห็นในหุบเขาแห่งชัม, และดูสิ, ผู้คนมากมายซึ่งพำนักในกระโจม, ซึ่งคือผู้คนแห่งชัม.

และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า : จงดูเถิด; และข้าพเจ้ามองไปทางทิศเหนือ, และข้าพเจ้ามองเห็นผู้คนแห่งคานาอัน, ซึ่งพำนักในกระโจม.

และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า : จงพยากรณ์; และข้าพเจ้าพยากรณ์, โดยกล่าวว่า : ดูเถิด ผู้คนแห่งคานาอัน, ซึ่งมีจำนวนมาก, จะออกไปในขบวนรบเพื่อต่อสู้กับผู้คนแห่งชัม, และจะสังหารพวกเขาจนพวกเขาจะถูกทำลายสิ้น; และผู้คนแห่งคานาอันจะแยกกันออกไปในแผ่นดิน, และแผ่นดินจะแห้งแล้งและกันดาร, และไม่มีผู้คนอื่นใดจะพำนักที่นั่นนอกจากผู้คนแห่งคานาอัน;

เพราะดูเถิด, พระเจ้าจะทรงสาปแช่งแผ่นดินด้วยความร้อนจัด, และความแห้งแล้งของมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล; และความดำเกิดกับลูกหลานทั้งปวงแห่งคานาอัน, จนพวกเขาถูกเกลียดชังในบรรดาผู้คนทั้งปวง.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า : จงดูเถิด; และข้าพเจ้ามองดู, และข้าพเจ้ามองเห็นแผ่นดินแห่งชาโรน, และแผ่นดินแห่งเอโนค, และแผ่นดินแห่งออมเนอร์, และแผ่นดินแห่งเฮไน, และแผ่นดินแห่งเชม, และแผ่นดินแห่งเฮเนอร์, และแผ่นดินแห่งฮานันนีฮาห์, และผู้อยู่อาศัยทั้งปวงในนั้น;

๑๐ และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า : จงไปหาผู้คนเหล่านี้, และกล่าวแก่พวกเขา—จงกลับใจ, เกลือกเราจะออกมาและลงทัณฑ์พวกเขาด้วยคำสาปแช่ง, และพวกเขาจะตาย.

๑๑ และพระองค์ประทานพระบัญญัติข้อหนึ่งแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะให้บัพติศมาในพระนามของพระบิดา, และของพระบุตร, ซึ่งทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง, และของพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งรับสั่งคำพยานถึงพระบิดาและพระบุตร.

๑๒ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคเรียกหาผู้คนทั้งปวงต่อไป, ยกเว้นผู้คนแห่งคานาอัน, ให้กลับใจ;

๑๓ และศรัทธาของเอโนคมั่นคงยิ่งนักจนเขานำผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า, และศัตรูของพวกเขามารบกับพวกเขา; และเขาพูดพระคำของพระเจ้า, และแผ่นดินโลกสั่นสะเทือน, และภูเขาหลบหนีไป, แม้ตามคำสั่งของเขา; และบรรดาแม่น้ำที่มีสายน้ำเบนไปจากวิถีของมัน; และเสียงคำรามของฝูงสิงโตได้ยินออกมาจากแดนทุรกันดาร; และประชาชาติทั้งปวงหวาดกลัวยิ่งนัก, คำของเอโนคทรงพลังยิ่ง, และพลังของภาษาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้เขาทรงอานุภาพยิ่ง.

๑๔ มีแผ่นดินแห่งหนึ่งขึ้นมาจากห้วงลึกของทะเลด้วย, และความหวาดกลัวของศัตรูแห่งผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าใหญ่หลวงยิ่งนัก, จนพวกเขาหลบหนีและยืนอยู่ห่างออกไป และไปบนแผ่นดินซึ่งขึ้นมาจากห้วงลึกของทะเล.

๑๕ และบรรดายักษ์ของแผ่นดิน, เช่นเดียวกัน, ยืนอยู่ห่างออกไป; และมีคำสาปแช่งออกไปสู่ผู้คนทั้งปวงที่ต่อสู้กับพระผู้เป็นเจ้า;

๑๖ และนับแต่เวลานั้นมามีสงครามและการนองเลือดในบรรดาพวกเขา; แต่พระเจ้าเสด็จมาและทรงพำนักกับผู้คนของพระองค์, และพวกเขาดำรงอยู่ในความชอบธรรม.

๑๗ ความเกรงกลัวพระเจ้าอยู่บนประชาชาติทั้งปวง, รัศมีภาพของพระเจ้ามหาศาลยิ่งนัก, ซึ่งอยู่บนผู้คนของพระองค์. และพระเจ้าทรงอวยพรแผ่นดิน, และพวกเขาได้รับพรบนภูเขา, และบนสถานที่สูง, และเจริญรุ่งเรือง.

๑๘ และพระเจ้าทรงเรียกผู้คนของพระองค์ว่าไซอัน, เพราะพวกเขามีจิตใจเดียวและความคิดเดียว, และดำรงอยู่ในความชอบธรรม; และไม่มีคนจนในบรรดาพวกเขา.

๑๙ และเอโนคสืบต่อการสั่งสอนของเขาในความชอบธรรมแก่ผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า. และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นในวันเวลาของเขา, คือเขาสร้างนครหนึ่งที่เรียกว่านครแห่งความบริสุทธิ์, แม้ไซอัน.

๒๐ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเอโนคพูดกับพระเจ้า; และเขาทูลพระเจ้า : แน่นอนว่าไซอันจะพำนักในความปลอดภัยตลอดกาล. แต่พระเจ้าตรัสกับเอโนค : ไซอันเราได้อวยพร, แต่พวกที่เหลืออยู่ของผู้คนเราได้สาปแช่ง.

๒๑ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้าทรงทำให้เอโนคเห็นผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินโลก; และเขามองดู, และดูเถิด, ไซอัน, ตามวิถีแห่งเวลา, พระองค์ทรงรับขึ้นสู่สวรรค์. และพระเจ้าตรัสกับเอโนค : จงดูเรือนพำนักของเราตลอดกาล.

๒๒ และเอโนคมองเห็นพวกที่เหลืออยู่ของผู้คนซึ่งเป็นบุตรทั้งหลายของอาดัมด้วย; และพวกเขาคือการผสมผสานของพงศ์พันธุ์ทั้งปวงของอาดัมยกเว้นก็แต่พงศ์พันธุ์ของคาอิน, เพราะพงศ์พันธุ์ของคาอินดำ, และไม่มีที่อยู่ในบรรดาพวกเขา.

๒๓ และหลังจากที่ทรงรับไซอันขึ้นสู่สวรรค์แล้ว, เอโนคมองดู, และดูเถิด, ประชาชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกอยู่ต่อหน้าเขา;

๒๔ และรุ่นแล้วรุ่นเล่าเกิดมาและล่วงลับไป; และเอโนคอยู่ ณ ที่สูงและยกขึ้นสู่ที่สูง, แม้ในพระอุระของพระบิดา, และของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ; และดูเถิด, อำนาจของซาตานอยู่ทั่วพื้นพิภพ.

๒๕ และเขาเห็นเหล่าเทพลงมาจากสวรรค์; และเขาได้ยินเสียงอุโฆษซึ่งกล่าวว่า : วิบัติ, วิบัติจงมีแก่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลก.

๒๖ และเขามองเห็นซาตาน; และซาตานมีโซ่เส้นมหึมาในมือเขา, และมันบดบังทั่วทั้งพื้นพิภพด้วยความมืด; และเขาแหงนหน้าและหัวเราะ, และบรรดาเทพของเขาชื่นชมยินดี.

๒๗ และเอโนคมองเห็นเหล่าเทพลงมาจากสวรรค์, โดยแสดงประจักษ์พยานถึงพระบิดาและพระบุตร; และพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาบนคนหลายคน, และเดชานุภาพแห่งสวรรค์พาพวกเขาขึ้นไปไซอัน.

๒๘ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทอดพระเนตรพวกที่เหลืออยู่ของผู้คน, และพระองค์ทรงกันแสง; และเอโนคกล่าวคำพยานถึงเรื่องนี้, โดยกล่าวว่า : ไฉนสวรรค์จึงร่ำไห้, และหลั่งน้ำตาของพวกเขาให้ไหลรินดังสายฝนบนภูเขา ?

๒๙ และเอโนคทูลพระเจ้า : ไฉนพระองค์จะทรงกันแสงได้, โดยเห็นว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์, และทรงดำรงอยู่จากชั่วนิรันดรถึงชั่วนิรันดร ?

๓๐ และหากอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะนับอนุภาคทั้งหลายของแผ่นดินโลกได้, แท้จริงแล้ว, แผ่นดินโลกนับล้าน ๆ เฉกเช่นโลกนี้, ก็ยังไม่ถือว่านี่คือการเริ่มต้นจำนวนงานสร้างทั้งหลายของพระองค์; และม่านทั้งหลายของพระองค์ยังคงกางกั้นไว้; ทว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น, และพระอุระของพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น; และพระองค์ทรงเที่ยงธรรมด้วย, พระองค์ทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาตลอดกาล;

๓๑ และพระองค์ทรงรับไซอันสู่พระอุระของพระองค์เอง, จากงานสร้างทั้งปวงของพระองค์, จากชั่วนิรันดรถึงชั่วนิรันดร; และไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากสันติสุข, ความยุติธรรม, และความจริงที่เป็นราชนิเวศน์แห่งพระราชบัลลังก์ของพระองค์; และพระเมตตาจะดำเนินไปเบื้องพระพักตร์พระองค์และไม่มีสิ้นสุด; ไฉนพระองค์จะทรงกันแสงได้เล่า ?

๓๒ พระเจ้าตรัสกับเอโนค : จงดูพี่น้องเหล่านี้ของเจ้า; พวกเขาคือหัตถศิลป์จากมือเราเอง, และเราให้ความรู้แก่พวกเขา, ในวันที่เราสร้างพวกเขา; และในสวนแห่งเอเดน, เราให้สิทธิ์เสรีของมนุษย์แก่เขา;

๓๓ และแก่พี่น้องเจ้าเรากล่าว, และให้บัญญัติไว้ด้วย, ว่าพวกเขาจะรักกัน, และว่าพวกเขาจะเลือกเรา, พระบิดาของพวกเขา; แต่ดูเถิด, พวกเขาปราศจากความรัก, และพวกเขาเกลียดชังสายโลหิตของตนเอง;

๓๔ และเพลิงแห่งความเคืองแค้นของเราดาลเดือดกับพวกเขา; และในความขุ่นเคืองราวกับไฟของเรา เราจะส่งน้ำท่วมไปยังพวกเขา, เพราะความโกรธแค้นของเราดาลเดือดกับพวกเขา.

๓๕ ดูเถิด, เราคือพระผู้เป็นเจ้า; มหาบุรุษแห่งความบริสุทธิ์คือนามของเรา; มหาบุรุษแห่งคำปรึกษาคือนามของเรา; และอนันตและนิรันดร์คือนามของเรา, เช่นเดียวกัน.

๓๖ ดังนั้น, เราสามารถยื่นมือของเราออกไปและกุมงานสร้างทั้งปวงซึ่งเรารังสรรค์ไว้; และดวงตาของเราสามารถทิ่มแทงมันได้ด้วย, และในบรรดาหัตถศิลป์ทั้งปวงจากมือเรายังไม่เคยมีความชั่วร้ายใหญ่หลวงยิ่งเหมือนในบรรดาพี่น้องเจ้า.

๓๗ แต่ดูเถิด, บาปของพวกเขาจะอยู่บนศีรษะของบรรพบุรุษพวกเขา; ซาตานจะเป็นบิดาพวกเขา, และความเศร้าหมองจะเป็นชะตากรรมของพวกเขา; และทั่วทั้งสวรรค์จะร่ำไห้ด้วยเรื่องพวกเขา, แม้หัตถศิลป์ทั้งปวงจากมือเรา; ดังนั้นสวรรค์จะไม่ร่ำไห้หรอกหรือ, โดยเห็นคนเหล่านี้จะรับทุกขเวทนา ?

๓๘ แต่ดูเถิด, คนเหล่านี้ซึ่งดวงตาของเจ้ามองเห็นจะตายในน้ำท่วม; และดูเถิด, เราจะขังพวกเขา; เราเตรียมเรือนจำแห่งหนึ่งไว้ให้พวกเขา.

๓๙ และคนนั้นที่เราเลือกไว้ได้วิงวอนต่อหน้าเรา. ดังนั้น, เขาจึงทนรับทุกขเวทนาเพื่อบาปของคนเหล่านั้น; ตราบเท่าที่พวกเขาจะกลับใจในวันที่พระองค์ผู้ที่เราเลือกไว้จะกลับมาหาเรา, และจนถึงวันนั้นพวกเขาจะอยู่ในความทรมาน;

๔๐ ดังนั้น, เพราะการนี้สวรรค์จะร่ำไห้, แท้จริงแล้ว, และหัตถศิลป์ทั้งปวงจากมือเรา.

๔๑ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ พระเจ้ารับสั่งกับเอโนค, และทรงบอกเอโนคถึงการกระทำทั้งปวงของลูกหลานมนุษย์; ดังนั้นเอโนคจึงรู้, และมองเห็นความชั่วร้ายของพวกเขา, และความเศร้าหมองของพวกเขา, และร่ำไห้และยื่นแขนเขาออกไป, และใจเขาพองกว้างประดุจอนันตกาล; และอุทรของเขาสังเวช; และอนันตจักรวาลสั่นสะเทือน.

๔๒ และเอโนคเห็นโนอาห์ด้วย, และครอบครัวของเขา; ว่าลูกหลานของบุตรทั้งปวงของโนอาห์จะได้รับการช่วยให้รอดด้วยความรอดทางร่างกาย;

๔๓ ดังนั้นเอโนคจึงมองเห็นว่าโนอาห์ต่อนาวาลำหนึ่ง; และว่าพระเจ้าทรงแย้มพระสรวลกับนาวาลำนี้, และทรงกุมมันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์เอง; แต่น้ำท่วมไหลบ่ามาถึงพวกที่เหลืออยู่ของคนชั่วร้ายและกลืนพวกเขาสิ้น.

๔๔ และขณะที่เอโนคเห็นดังนี้, เขาเกิดความขมขื่นแห่งจิตวิญญาณ, และร่ำไห้เพราะพี่น้องของเขา, และกล่าวเแก่สวรรค์ : ข้าพเจ้าจะปฏิเสธที่จะรับการปลอบโยน; แต่พระเจ้าตรัสกับเอโนค : จงรื่นเริงใจ, และยินดีเถิด; และจงมองดู.

๔๕ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคมองดู; และนับแต่โนอาห์เป็นต้นไป, เขามองเห็นครอบครัวทั้งปวงของแผ่นดินโลก; และเขาร้องทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า : เมื่อไรเล่าวันของพระเจ้าจะมาถึง ? เมื่อไรเล่าพระโลหิตของพระผู้ชอบธรรมจะหลั่ง, เพื่อคนทั้งปวงที่โศกเศร้านั้นจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และมีชีวิตนิรันดร์ ?

๔๖ และพระเจ้าตรัส : สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในความเรืองโรจน์แห่งเวลา, ในวันเวลาของความชั่วร้ายและการแก้แค้น.

๔๗ และดูเถิด, เอโนคมองเห็นวันแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, แม้ในเนื้อหนัง; และจิตวิญญาณเขาชื่นชมยินดี, โดยกล่าวว่า : พระผู้ชอบธรรมทรงถูกยกขึ้น, และพระเมษโปดกทรงถูกประหารนับแต่การวางรากฐานของโลก; และด้วยเหตุจากศรัทธาข้าพเจ้าจึงอยู่ในพระอุระของพระบิดา, และดูเถิด, ไซอันอยู่กับข้าพเจ้า.

๔๘ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเอโนคมองดูแผ่นดินโลก; และเขาได้ยินเสียงจากอุทรของนาง, กล่าวว่า : โธ่เอ๋ย, โธ่เอ๋ยเรา, มารดาของมนุษย์; เราเจ็บปวด, เราอ่อนล้า, เนื่องจากความชั่วร้ายของลูก ๆ เรา. เมื่อไรเล่าเราจะพักผ่อน, และได้รับการชำระล้างจากความสกปรกซึ่งออกไปจากเรา ? เมื่อไรเล่าพระผู้สร้างของเราจะทรงชำระเราให้บริสุทธิ์, เพื่อเราจะพักผ่อน, และความชอบธรรมในระยะเวลาหนึ่งจะอยู่บนพื้นผิวของเรา ?

๔๙ และเมื่อเอโนคได้ยินแผ่นดินโลกโศกเศร้า, เขาร่ำไห้, และร้องทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า : ข้าแต่พระเจ้า, พระองค์จะไม่ทรงมีน้ำพระทัยสงสารแผ่นดินโลกหรอกหรือ ? พระองค์จะไม่ทรงอวยพรลูกหลานของโนอาห์หรอกหรือ ?

๕๐ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคร้องทูลพระเจ้าต่อไป, โดยกล่าวว่า : ข้าพระองค์ทูลขอพระองค์, ข้าแต่พระเจ้า, ในพระนามของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์, แม้พระเยซูคริสต์, ว่าพระองค์จะทรงมีพระเมตตาต่อโนอาห์และพงศ์พันธุ์ของเขา, เพื่อแผ่นดินโลกจะไม่ถูกน้ำท่วมปกคลุมอีกเลย.

๕๑ และพระเจ้าหาปฏิเสธได้ไม่; และพระองค์ทรงทำพันธสัญญากับเอโนค, และประทานคำมั่นแก่เขาด้วยคำปฏิญาณ, ว่าพระองค์จะทรงยับยั้งน้ำท่วมไว้; ว่าพระองค์จะทรงเรียกหาลูกหลานของโนอาห์;

๕๒ และพระองค์ทรงออกประกาศิตซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้, คือจะพบส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของพงศ์พันธุ์ของเขาเสมอในบรรดาประชาชาติทั้งปวง, ขณะที่แผ่นดินโลกยังดำรงอยู่;

๕๓ และพระเจ้าตรัส : ขอให้เขาเป็นสุขเถิดซึ่งโดยทางพงศ์พันธุ์ของเขาพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา; เพราะพระองค์ตรัส—เราคือพระเมสสิยาห์, จอมราชันแห่งไซอัน, ศิลาแห่งสวรรค์, ซึ่งกว้างใหญ่ดังอนันตกาล; ผู้ใดเข้าทางประตูและปีนขึ้นโดยอาศัยเราจะไม่มีวันตก; ดังนั้น, ขอให้คนทั้งหลายที่เราพูดถึงจงเป็นสุขเถิด, เพราะพวกเขาจะออกมาด้วยบทเพลงแห่งปีติอันเป็นนิจ.

๕๔ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเอโนคร้องทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า : เมื่อบุตรแห่งพระมหาบุรุษเสด็จมาในเนื้อหนัง, แผ่นดินโลกจะพักผ่อนไหม ? ข้าพระองค์อ้อนวอนพระองค์, ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้เห็นสิ่งเหล่านี้เถิด.

๕๕ และพระเจ้าตรัสกับเอโนค : จงมองดูเถิด, และเขามองดูและเห็นบุตรแห่งพระมหาบุรุษถูกยกขึ้นบนกางเขน, ตามวิธีของมนุษย์;

๕๖ และเขาได้ยินเสียงอุโฆษ; และฟ้าสวรรค์ถูกม่านปิดไว้; และงานสร้างทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้าโศกเศร้า; และแผ่นดินโลกคร่ำครวญ; และศิลาแยกเป็นเสี่ยง ๆ; และวิสุทธิชนลุกขึ้น, และรับการสวมมงกุฎทางพระหัตถ์ขวาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, ด้วยมงกุฎแห่งรัศมีภาพ;

๕๗ และวิญญาณมากเท่าที่อยู่ในเรือนจำพากันออกมา, และยืนทางพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า; และคนที่เหลือถูกจองจำไว้ในโซ่แห่งความมืดจนถึงการพิพากษาแห่งวันอันสำคัญยิ่ง.

๕๘ และเอโนคร่ำไห้อีกและร้องทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า : เมื่อไรเล่าแผ่นดินโลกจะพักผ่อน ?

๕๙ และเอโนคมองเห็นบุตรแห่งพระมหาบุรุษเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบิดา; และเขาเรียกหาพระเจ้า, โดยกล่าวว่า : พระองค์จะไม่เสด็จมาบนแผ่นดินโลกอีกหรือ ? โดยที่เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า, และข้าพระองค์รู้จักพระองค์, และพระองค์ประทานคำมั่นกับข้าพระองค์, และทรงบัญชาข้าพระองค์ว่าข้าพระองค์จะทูลถามในพระนามของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์; พระองค์ทรงรังสรรค์ข้าพระองค์, และประทานสิทธิ์ต่อพระราชบัลลังก์ของพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์, และมิใช่ด้วยตัวข้าพระองค์, แต่โดยทางพระคุณของพระองค์เอง; ดังนั้น, ข้าพระองค์จึงทูลถามพระองค์ว่าพระองค์จะไม่เสด็จมาบนแผ่นดินโลกอีกหรือ.

๖๐ และพระเจ้าตรัสกับเอโนค : เรามีชีวิตอยู่ฉันใด, แม้ฉันนั้นเราจะมาในวันเวลาสุดท้าย, ในวันเวลาของความชั่วร้ายและการแก้แค้น, เพื่อทำให้คำมั่นซึ่งเราทำกับเจ้าเกิดสัมฤทธิผลเกี่ยวกับลูกหลานของโนอาห์;

๖๑ และวันนั้นจะมาถึงเมื่อแผ่นดินโลกจะพักผ่อน, แต่ก่อนวันนั้นฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้มืด, และม่านแห่งความมืดจะคลุมผืนแผ่นดิน; และฟ้าสวรรค์จะสั่นสะเทือน, และผืนแผ่นดินด้วย; และความยากลำบากใหญ่หลวงจะมีอยู่ในบรรดาลูกหลานมนุษย์, แต่ผู้คนของเรา เราจะปกปักรักษาไว้;

๖๒ และเราจะส่งความชอบธรรมลงมาจากสวรรค์; และเราจะส่งความจริงออกมาจากแผ่นดินโลก, เพื่อแสดงประจักษ์พยานถึงพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของเรา; การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์จากบรรดาคนตาย; แท้จริงแล้ว, และการฟื้นคืนชีวิตของมนุษย์ทั้งปวงด้วย; และเราจะทำให้ความชอบธรรมและความจริงถั่งท้นแผ่นดินโลกดังด้วยน้ำท่วม, เพื่อรวบรวมผู้ที่เราเลือกไว้ออกมาจากสี่เสี้ยวของแผ่นดินโลก, มายังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเราจะเตรียมไว้, นครศักดิ์สิทธิ์, เพื่อผู้คนของเราจะคาดเอวพวกเขาไว้, และเฝ้ารอเวลาแห่งการมาของเรา; เพราะพลับพลาของเราจะอยู่ที่นั่น, และจะเรียกนครนั้นว่าไซอัน, เยรูซาเล็มใหม่.

๖๓ และพระเจ้าตรัสกับเอโนค : จากนั้นเจ้ากับเมืองของเจ้าทั้งเมืองจะพบพวกเขาที่นั่น, และเราทั้งหลายจะรับพวกเขาไว้ในอกของเรา, และพวกเขาจะเห็นพวกเรา; และพวกเราจะกอดคอพวกเขา, และพวกเขาจะกอดคอพวกเรา, และเราจะจุมพิตกัน;

๖๔ และเรือนพำนักของเราจะอยู่ที่นั่น, และมันจะเป็นไซอัน, ซึ่งจะแยกออกมาจากงานสร้างทั้งปวงซึ่งเรารังสรรค์ไว้; และเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหนึ่งพันปีแผ่นดินโลกจะพักผ่อน.

๖๕ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคมองเห็นวันแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, ในวันเวลาสุดท้าย, ที่จะทรงพำนักบนแผ่นดินโลกในความชอบธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหนึ่งพันปี;

๖๖ แต่ก่อนวันนั้นเขาเห็นความยากลำบากใหญ่หลวงในบรรดาคนชั่วร้าย; และเขาเห็นทะเลด้วย, ว่ามันปั่นป่วน, และใจมนุษย์จะท้อแท้, เฝ้ารอการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพด้วยความหวาดกลัว, ซึ่งจะมาบนคนชั่วร้าย.

๖๗ และพระเจ้าทรงทำให้เอโนคมองเห็นสิ่งทั้งปวง, แม้จนถึงการสิ้นสุดของโลก; และเขาเห็นวันของคนชอบธรรม, โมงแห่งการไถ่ของพวกเขา, และได้รับความสมบูรณ์แห่งปีติ;

๖๘ และวันเวลาทั้งหมดของไซอัน, ในวันเวลาของเอโนค, คือสามร้อยหกสิบห้าปี.

๖๙ และเอโนคและผู้คนทั้งปวงของเขาเดินกับพระผู้เป็นเจ้า, และพระองค์ทรงพำนักท่ามกลางไซอัน; และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ ไซอันไม่มีแล้ว, เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงรับขึ้นไปไว้ในพระอุระของพระองค์เอง; และนับแต่นั้นมามีการกล่าวกันว่า, ไซอันหลบหนีไปแล้ว.