บทที่ ๓๐
คอริฮอร์, ผู้ต่อต้านพระคริสต์, เยาะเย้ยพระคริสต์, การชดใช้, และวิญญาณแห่งการพยากรณ์—เขาสอนว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า, ไม่มีการตกของมนุษย์, ไม่มีการลงโทษบาป, และไม่มีพระคริสต์—แอลมาเป็นพยานว่าพระคริสต์จะเสด็จมาและสรรพสิ่งทั้งปวงชี้ว่ามีพระผู้เป็นเจ้า—คอริฮอร์เรียกร้องเครื่องหมายและถูกทำให้เป็นใบ้—มารมาปรากฏต่อคอริฮอร์ในลักษณะของเทพและสอนสิ่งที่เขาจะกล่าว—คอริฮอร์ถูกเหยียบจนแหลกเหลวและตาย. ประมาณ ๗๖–๗๔ ปีก่อนคริสตกาล.
๑ ดูเถิด, บัดนี้เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือหลังจากที่ผู้คนของแอมันตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินแห่งเจอร์ชอน, แท้จริงแล้ว, และหลังจากที่ชาวเลมันถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินแล้วด้วย, และคนตายของพวกเขาถูกผู้คนของแผ่นดินฝังไว้—
๒ บัดนี้ไม่ได้นับจำนวนคนตายของพวกเขาเพราะความมากมายในจำนวนของมัน; ทั้งไม่ได้นับจำนวนคนตายของชาวนีไฟ—แต่เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ฝังคนตายของตน, และหลังจากวันแห่งการอดอาหาร, และความโศกเศร้า, และการสวดอ้อนวอนด้วยแล้ว, (และมันเป็นไปในปีที่สิบหกแห่งการปกครองของผู้พิพากษาเหนือผู้คนของนีไฟ) จึงเริ่มมีสันติติดต่อกันทั่วแผ่นดิน.
๓ แท้จริงแล้ว, และผู้คนยึดมั่นต่อการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า; และพวกเขาเคร่งครัดในการยึดถือศาสนพิธีของพระผู้เป็นเจ้า, ตามกฎของโมเสส; เพราะพวกเขาได้รับการสอนให้รักษากฎของโมเสสไปจนกว่ามันจะสมบูรณ์.
๔ และด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่มีความวุ่นวายตลอดปีที่สิบหกแห่งการปกครองของผู้พิพากษาเหนือผู้คนของนีไฟ.
๕ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือในการเริ่มต้นของปีที่สิบเจ็ดแห่งการปกครองของผู้พิพากษา, มีสันติติดต่อกัน.
๖ แต่เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นในตอนปลายปีที่สิบเจ็ด, ชายผู้หนึ่งเข้ามาในแผ่นดินแห่งเซราเฮ็มลา, และเขาเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์, เพราะเขาเริ่มสั่งสอนผู้คนในทางตรงกันข้ามกับคำพยากรณ์ซึ่งศาสดาพยากรณ์พูดไว้, เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระคริสต์.
๗ บัดนี้ไม่มีกฎที่ขัดขวางความเชื่อของมนุษย์; เพราะเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่งที่ว่าจะมีกฎซึ่งจะนำมนุษย์ไปสู่ฐานะที่ไม่เสมอภาค.
๘ เพราะพระคัมภีร์กล่าวไว้ดังนี้ : ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียวันนี้, ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด.
๙ บัดนี้หากมนุษย์ปรารถนาจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า, ก็เป็นสิทธิ์ของเขา; หรือที่จริงแล้ว, หากเขาเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะรับใช้พระองค์; แต่หากเขาไม่เชื่อในพระองค์ก็ไม่มีกฎที่จะลงโทษเขา.
๑๐ แต่หากเขากระทำฆาตกรรมเขาก็ถูกลงโทษถึงตาย; และหากเขาโจรกรรมเขาก็ถูกลงโทษด้วย; และหากเขาขโมยเขาก็ถูกลงโทษด้วย; และหากเขาประพฤติล่วงประเวณีเขาก็ถูกลงโทษด้วย; แท้จริงแล้ว, เพื่อความชั่วร้ายทั้งหมดนี้พวกเขาจึงถูกลงโทษ.
๑๑ เพราะมีกฎอยู่ว่ามนุษย์จะถูกพิพากษาตามโทษานุโทษของเขา. กระนั้นก็ตาม, ไม่มีกฎห้ามความเชื่อของมนุษย์; ฉะนั้น, มนุษย์ถูกลงโทษเพราะโทษานุโทษซึ่งเขากระทำเท่านั้น; ฉะนั้นคนทั้งปวงอยู่ในฐานะที่เสมอภาค.
๑๒ และผู้ต่อต้านพระคริสต์ผู้นี้, ชื่อของเขาคือคอริฮอร์, (และกฎไม่มีอำนาจกับเขาได้) เริ่มสั่งสอนผู้คนว่าจะไม่มีพระคริสต์. และเขาสั่งสอนตามวิธีนี้, โดยกล่าวว่า :
๑๓ โอ้ท่านที่ถูกมัดลงไปอยู่ใต้ความหวังอันโง่เขลาและเปล่าประโยชน์, ทำไมท่านจึงนำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นมาเทียมแอกไว้กับตัว ? ทำไมท่านจึงตั้งตารอพระคริสต์ ? เพราะไม่มีมนุษย์คนใดรู้ได้ถึงสิ่งที่จะมาถึง.
๑๔ ดูเถิด, เรื่องเหล่านี้ซึ่งท่านเรียกว่าคำพยากรณ์, ซึ่งท่านกล่าวว่าสืบทอดกันมาโดยศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์, ดูเถิด, สิ่งเหล่านี้เป็นประเพณีอันโง่เขลาของบรรพบุรุษท่าน.
๑๕ ท่านรู้ถึงความแน่นอนของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ? ดูเถิด, ท่านไม่อาจรู้ได้ถึงสิ่งที่ท่านไม่เห็น; ฉะนั้นท่านจึงไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีพระคริสต์.
๑๖ ท่านมองไปข้างหน้าและกล่าวว่าท่านเห็นการปลดบาปของท่าน. แต่ดูเถิด, มันเป็นผลของจิตใจที่ไร้สติ; และความฟั่นเฟือนนี้ของจิตใจท่านเกิดขึ้นเพราะประเพณีบรรพบุรุษของท่าน, ซึ่งนำท่านไปสู่ความเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเช่นนั้น.
๑๗ และเรื่องเช่นนั้นอีกหลายเรื่องที่เขากล่าวแก่คนทั้งหลาย, โดยบอกคนเหล่านั้นว่าจะมีการชดใช้เพื่อบาปของมนุษย์เกิดขึ้นไม่ได้, แต่มนุษย์ทุกคนรับประสบการณ์ในชีวิตนี้ตามการดำเนินชีวิตของตน; ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนรุ่งเรืองตามอัจฉริยภาพของตน, และว่ามนุษย์ทุกคนมีชัยชนะตามกำลังของตน; และอะไรก็ตามที่มนุษย์ทำไปย่อมไม่เป็นความผิด.
๑๘ และดังนี้เขาสั่งสอนคนทั้งหลาย, ชักนำใจคนไปเป็นอันมาก, เป็นเหตุให้คนเหล่านั้นเชิดหน้าในความชั่วร้ายของตน, แท้จริงแล้ว, ชักนำผู้หญิงไปเป็นอันมาก, และผู้ชายด้วย, ให้กระทำการผิดประเวณี—โดยบอกพวกเขาว่าเมื่อมนุษย์ตาย, นั่นคือที่สุดของมัน.
๑๙ บัดนี้ชายผู้นี้ข้ามไปแผ่นดินแห่งเจอร์ชอนด้วย, เพื่อสั่งสอนเรื่องเหล่านี้ในบรรดาผู้คนของแอมัน, ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้คนของชาวเลมัน.
๒๐ แต่ดูเถิดคนเหล่านี้ฉลาดกว่าชาวนีไฟหลาย ๆ คน; เพราะคนเหล่านี้จับเขา, และมัดเขา, และพาเขาไปอยู่ต่อหน้าแอมัน, ผู้เป็นมหาปุโรหิตปกครองคนเหล่านั้น.
๒๑ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือท่านให้พาเขาออกไปจากแผ่นดิน. และเขาเข้ามาในแผ่นดินแห่งกิเดียน, และเริ่มสั่งสอนคนเหล่านั้นด้วย; และที่นี่เขาไม่ได้รับความสำเร็จมากนัก, เพราะเขาถูกจับมัดไว้และถูกพาไปอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต, และหัวหน้าผู้พิพากษาปกครองแผ่นดินด้วย.
๒๒ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือมหาปุโรหิตกล่าวแก่เขาว่า : ทำไมท่านจึงเที่ยวไปบิดเบือนทางของพระเจ้า ? ทำไมท่านจึงสอนคนเหล่านี้ว่าจะไม่มีพระคริสต์, เพื่อขัดขวางการชื่นชมยินดีของพวกเขา ? ทำไมท่านจึงพูดขัดกับคำพยากรณ์ทั้งหมดของศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์ ?
๒๓ บัดนี้ชื่อของมหาปุโรหิตคือกิดโดนาห์. และคอริฮอร์กล่าวแก่ท่าน : เพราะข้าพเจ้าไม่สอนประเพณีโง่เขลาของบรรพบุรุษท่าน, และเพราะข้าพเจ้าไม่สอนคนเหล่านี้ให้ผูกมัดตนลงไปใต้ศาสนพิธีและการปฏิบัติอันโง่เขลาซึ่งปุโรหิตในสมัยโบราณกำหนดไว้, เพื่อแย่งชิงพลังอำนาจและสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา, เพื่อให้พวกเขาอยู่ในความเขลา, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่เงยหน้า, แต่ถูกกดหัวไว้ตามคำของท่าน.
๒๔ ท่านกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นอิสรชน. ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวว่าพวกเขาอยู่ในความเป็นทาส. ท่านกล่าวว่าคำพยากรณ์สมัยโบราณเหล่านั้นจริง. ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวว่าท่านไม่รู้ว่ามันจริง.
๒๕ ท่านกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่มีความผิดและตก, เพราะการล่วงละเมิดของบรรพชน. ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวว่าเด็กมิได้มีความผิดอันเนื่องจากบิดามารดาของตน.
๒๖ และท่านกล่าวด้วยว่าพระคริสต์จะเสด็จมา. แต่ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวว่าท่านหาได้รู้ไม่ว่าจะมีพระคริสต์. และท่านกล่าวด้วยว่าพระองค์จะทรงถูกประหารเพื่อบาปของโลก—
๒๗ และดังนี้ท่านชักนำคนพวกนี้ไปตามประเพณีโง่เขลาของบรรพบุรุษท่าน, และตามความปรารถนาของท่านเอง; และท่านกดขี่พวกเขาไว้, แม้ดังอยู่ในความเป็นทาส, เพื่อท่านจะได้อิ่มหนำสำราญด้วยแรงงานจากมือของพวกเขา, เพื่อพวกเขาจะไม่กล้าเงยหน้าด้วยความองอาจ, และเพื่อพวกเขาจะไม่กล้ายินดีในสิทธิ์และอภิสิทธิ์ของตน.
๒๘ แท้จริงแล้ว, พวกเขาไม่กล้าใช้สิ่งซึ่งเป็นของตนเองโดยเกรงว่าจะทำให้ปุโรหิตของตนขุ่นเคือง, ผู้ซึ่งใส่แอกให้พวกเขาตามความปรารถนาของตน, และนำพวกเขาให้เชื่อ, โดยประเพณีของตนและความฝันของตนและอารมณ์ของตนและนิมิตของตนและความลี้ลับอันเสแสร้งของตน, เพื่อที่ว่า, หากพวกเขาไม่ทำตามคำของตน, พวกเขาก็จะทำให้ใครสักคนซึ่งไม่เป็นที่รู้จักขุ่นเคือง, ผู้ซึ่งพวกเขากล่าวว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า—บุคคลซึ่งไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้จัก, ผู้ซึ่งไม่เคยดำรงอยู่เลย, ทั้งจะไม่มีวันดำรงอยู่.
๒๙ บัดนี้เมื่อมหาปุโรหิตและหัวหน้าผู้พิพากษาเห็นความแข็งกระด้างของใจเขา, แท้จริงแล้ว, เมื่อเห็นว่าเขาจ้วงจาบแม้กับพระผู้เป็นเจ้า, พวกท่านจึงไม่ยอมตอบถ้อยคำของเขา; แต่ให้มัดเขา; และพวกท่านส่งเขาให้อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่; และส่งเขาไปแผ่นดินแห่งเซราเฮ็มลา, เพื่อจะได้นำเขาไปอยู่ต่อหน้าแอลมา, และหัวหน้าผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินทั้งหมด.
๓๐ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเมื่อเขาถูกนำมาอยู่ต่อหน้าแอลมาและหัวหน้าผู้พิพากษา, เขาทำแบบเดียวกันกับที่เขาทำในแผ่นดินแห่งกิเดียน; แท้จริงแล้ว, เขายังคงลบหลู่พระเจ้าต่อไป.
๓๑ และเขายิ่งทวีความรุนแรงในคำพูดต่อหน้าแอลมา, และจ้วงจาบต่อปุโรหิตและผู้สอน, โดยกล่าวหาว่าคนเหล่านั้นชักนำผู้คนให้ทำตามประเพณีเหลวไหลของบรรพบุรุษตน, เพื่อเห็นแก่ความอิ่มหนำสำราญบนน้ำพักน้ำแรงของผู้คน.
๓๒ บัดนี้แอลมากล่าวแก่เขา : ท่านรู้ว่าเราไม่ได้อิ่มหนำสำราญอยู่บนน้ำพักน้ำแรงของคนเหล่านี้; เพราะดูเถิดข้าพเจ้าทำงานแม้ตั้งแต่แรกเริ่มแห่งการปกครองของผู้พิพากษามาจนบัดนี้, ด้วยมือข้าพเจ้าเองเพื่อเลี้ยงตน, ทั้งที่หลายครั้งข้าพเจ้าเดินทางไปทั่วแผ่นดินเพื่อประกาศพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าแก่ผู้คนของข้าพเจ้า.
๓๓ และทั้งที่เป็นงานมากมายซึ่งข้าพเจ้าทำไปในศาสนจักร, ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้รับเลยแม้แต่ซีไนน์เดียวสำหรับแรงงานของข้าพเจ้า; ทั้งพี่น้องข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับ, นอกจากเมื่ออยู่ในบัลลังก์พิพากษา; และเมื่อนั้นเราก็ได้รับแต่เพียงตามกฎสำหรับเวลาของเรา
๓๔ และบัดนี้, หากเราไม่ได้รับสิ่งตอบแทนแรงงานของเราในศาสนจักร, จะเป็นประโยชน์อันใดกับเราเล่าที่จะทำงานในศาสนจักรหากไม่ใช่เพื่อประกาศความจริง, เพื่อเราจะมีการชื่นชมยินดีในปีติของพี่น้องเรา ?
๓๕ แล้วเหตุใดท่านจึงกล่าวว่าเราสั่งสอนคนเหล่านี้เพื่อหาผลประโยชน์, ในเมื่อท่าน, ด้วยตัวของท่าน, รู้อยู่ว่าเราไม่ได้รับผลประโยชน์เลย ? และบัดนี้, ท่านเชื่อหรือว่าเราหลอกลวงคนเหล่านี้, ซึ่งทำให้เกิดปีติเช่นนั้นในใจพวกเขา ?
๓๖ และคอริฮอร์ตอบท่าน, ถูกแล้ว.
๓๗ และแล้วแอลมากล่าวแก่เขา : ท่านเชื่อไหมว่ามีพระผู้เป็นเจ้า ?
๓๘ และเขาตอบ, ไม่เชื่อ.
๓๙ บัดนี้แอลมากล่าวแก่เขา : ท่านจะปฏิเสธอีกหรือว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า, และปฏิเสธพระคริสต์ด้วย ? เพราะดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, ข้าพเจ้ารู้ว่ามีพระผู้เป็นเจ้า, และรู้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาด้วย.
๔๐ และบัดนี้ท่านมีหลักฐานอะไรที่ว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า, หรือว่าพระคริสต์หาเสด็จมาไม่ ? ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าท่านไม่มีเลย, นอกจากเพียงถ้อยคำของท่านเท่านั้น.
๔๑ แต่, ดูเถิด, ข้าพเจ้ามีทุกสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานว่าสิ่งเหล่านี้จริง; และท่านก็มีทุกสิ่งเป็นประจักษ์พยานแก่ท่านว่าสิ่งเหล่านี้จริง; และท่านจะปฏิเสธหรือ ? ท่านเชื่อไหมว่าสิ่งเหล่านี้จริง ?
๔๒ ดูเถิด, ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเชื่อ, แต่ท่านถูกครอบงำด้วยวิญญาณที่พูดเท็จ, และท่านไม่เอาใจใส่พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจนพระองค์ไม่มีที่อยู่ในท่าน; แต่มารมีอำนาจเหนือท่าน, และเขาพาท่านไปทั่ว, ออกกลอุบายต่าง ๆ เพื่อเขาจะทำลายลูก ๆ ของพระผู้เป็นเจ้า.
๔๓ และบัดนี้คอริฮอร์กล่าวแก่แอลมา : หากท่านจะแสดงเครื่องหมายแก่ข้าพเจ้า, เพื่อข้าพเจ้าจะเชื่อมั่นว่ามีพระผู้เป็นเจ้า, แท้จริงแล้ว, จงแสดงแก่ข้าพเจ้าว่าพระองค์ทรงมีเดชานุภาพ, และเมื่อนั้นข้าพเจ้าจะเชื่อมั่นในความจริงแห่งถ้อยคำของท่าน.
๔๔ แต่แอลมากล่าวแก่เขา : ท่านมีเครื่องหมายเพียงพอแล้ว; ท่านจะทดลองพระผู้เป็นเจ้าของท่านหรือ ? ท่านจะกล่าวหรือว่า, จงแสดงเครื่องหมายแก่ข้าพเจ้า, ในเมื่อท่านมีประจักษ์พยานของพี่น้องทั้งหมดเหล่านี้ของท่าน, และศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดด้วย ? พระคัมภีร์วางอยู่ต่อหน้าท่าน, แท้จริงแล้ว, และทุกสิ่งชี้ให้เห็นว่ามีพระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้ว, แม้แผ่นดินโลก, และสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนพื้นผิวของมัน, แท้จริงแล้ว, และการเคลื่อนไหวของมัน, แท้จริงแล้ว, และดาวพระเคราะห์ทั้งหมดด้วยซึ่งเคลื่อนไปตามปรกติวิสัยเป็นพยานว่ามีพระผู้สร้างสูงสุด.
๔๕ และท่านยังเที่ยวตระเวนไปอีกหรือ, ชักนำใจคนพวกนี้ไป, โดยเป็นพยานแก่พวกเขาว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ? และท่านยังจะปฏิเสธพยานเหล่านี้ทั้งหมดหรือ ? และเขากล่าวว่า : ถูกแล้ว, ข้าพเจ้าจะปฏิเสธ, เว้นแต่ท่านจะแสดงเครื่องหมายแก่ข้าพเจ้า.
๔๖ และบัดนี้เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือแอลมากล่าวแก่เขา : ดูเถิด, ข้าพเจ้าโศกเศร้าเพราะความแข็งกระด้างของใจท่าน, แท้จริงแล้ว, คือท่านจะยังต่อต้านวิญญาณแห่งความจริง, จนจิตวิญญาณท่านจะถูกทำลาย.
๔๗ แต่ดูเถิด, เป็นการดีกว่าที่จะสูญเสียจิตวิญญาณของท่านไปแทนที่ท่านจะเป็นหนทางนำจิตวิญญาณเป็นอันมากลงไปสู่ความพินาศ, โดยการพูดเท็จของท่านและโดยคำป้อยอของท่าน; ฉะนั้นหากท่านจะปฏิเสธอีก, ดูเถิดพระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงทัณฑ์ท่าน, เพื่อท่านจะกลายเป็นใบ้, เพื่อท่านจะไม่มีวันอ้าปากของท่านอีกเลย, เพื่อท่านจะไม่หลอกลวงคนเหล่านี้อีกต่อไป.
๔๘ บัดนี้คอริฮอร์กล่าวแก่ท่านว่า : ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า, แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า; และข้าพเจ้ากล่าวด้วย, ว่าท่านไม่รู้ว่ามีพระผู้เป็นเจ้า; และเว้นเสียแต่ท่านจะแสดงเครื่องหมายแก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อ.
๔๙ บัดนี้แอลมากล่าวแก่เขา : สิ่งนี้ข้าพเจ้าจะให้แก่ท่านเพื่อเป็นเครื่องหมาย, คือท่านจะเป็นใบ้, ตามถ้อยคำของข้าพเจ้า; และข้าพเจ้ากล่าว, ว่าในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า, ท่านจะเป็นใบ้, เพื่อท่านจะพูดไม่ได้อีกต่อไป.
๕๐ บัดนี้เมื่อแอลมากล่าวถ้อยเหล่านี้แล้ว, คอริฮอร์ก็เป็นใบ้, จนเขาเปล่งเสียงไม่ได้, ตามถ้อยคำของแอลมา.
๕๑ และบัดนี้เมื่อหัวหน้าผู้พิพากษาเห็นการนี้, เขาจึงยื่นมือออกไปและเขียนถึงคอริฮอร์, มีความว่า : ท่านตระหนักถึงเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าไหม ? ในผู้ใดเล่าที่ท่านปรารถนาจะให้แอลมาแสดงเครื่องหมายของเขาออกมา ? อยากให้เขาทำให้คนอื่นได้รับทุกข์, เพื่อแสดงเครื่องหมายต่อท่านหรือ ? ดูเถิด, เขาแสดงเครื่องหมายแก่ท่านแล้ว; และบัดนี้ท่านจะโต้เถียงต่อไปอีกหรือ ?
๕๒ และคอริฮอร์ยื่นมือของเขาออกมาเขียน, มีความว่า : ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใบ้, เพราะข้าพเจ้าพูดไม่ได้; และข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่นำสิ่งนี้มาสู่ข้าพเจ้าได้; แท้จริงแล้ว, และข้าพเจ้ารู้เสมอว่ามีพระผู้เป็นเจ้า.
๕๓ แต่ดูเถิด, มารหลอกลวงข้าพเจ้า; เพราะเขาปรากฏแก่ข้าพเจ้าในรูปของเทพ, และกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า : จงไปเรียกคนเหล่านี้คืนมา, เพราะพวกเขาหลงตามพระผู้เป็นเจ้าซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก. และเขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า : ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้ว, และเขาสอนข้าพเจ้าถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าว. และข้าพเจ้าสอนถ้อยคำของเขา; และข้าพเจ้าสอนเรื่องเหล่านี้เพราะเป็นที่พอใจของจิตที่ฝักใฝ่ทางโลก; และข้าพเจ้าสอนเรื่องเหล่านี้, แม้จนได้รับความสำเร็จอย่างมาก, ถึงขนาดที่ข้าพเจ้าเชื่อจริงจังว่าเรื่องเหล่านี้จริง; และเพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคัดค้านความจริง, แม้จนข้าพเจ้านำเอาการสาปแช่งอันใหญ่หลวงนี้มาสู่ข้าพเจ้า.
๕๔ บัดนี้เมื่อเขากล่าวถ้อยนี้แล้ว, เขาวิงวอนแอลมาให้สวดอ้อนวอนถึงพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อเอาการสาปแช่งออกไปจากเขา.
๕๕ แต่แอลมากล่าวแก่เขา : หากเอาการสาปแช่งนี้ออกไปจากท่าน ท่านก็จะชักนำใจคนพวกนี้ไปอีก; ฉะนั้น, มันจะบังเกิดกับท่านแม้ดังที่พระเจ้าทรงประสงค์.
๕๖ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือการสาปแช่งไม่ได้พ้นไปจากคอริฮอร์; แต่เขาถูกขับออกไป, และตระเวนไปจากบ้านหนึ่งถึงบ้านหนึ่งเพื่อขออาหาร.
๕๗ บัดนี้ความรู้ถึงสิ่งที่เกิดกับคอริฮอร์ประกาศไปทั่วแผ่นดินโดยทันที; แท้จริงแล้ว, หัวหน้าผู้พิพากษาส่งถ้อยแถลงออกไปยังผู้คนทั้งหมดในแผ่นดิน, ประกาศแก่คนที่เชื่อในถ้อยคำของคอริฮอร์ว่าพวกเขาต้องกลับใจโดยเร็ว, มิฉะนั้นการพิพากษาอย่างเดียวกันจะมาสู่พวกเขา.
๕๘ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพวกเขาทุกคนตระหนักแล้วถึงความชั่วร้ายของคอริฮอร์; ฉะนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาหาพระเจ้าอีกทุกคน; และการนี้จึงยุติความชั่วช้าสามานย์ตามแบบอย่างคอริฮอร์. และคอริฮอร์ตระเวนไปจากบ้านหนึ่งถึงบ้านหนึ่ง, เพื่อขออาหารเลี้ยงตน.
๕๙ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือขณะที่เขาออกไปในบรรดาผู้คน, แท้จริงแล้ว, ในบรรดาคนพวกหนึ่งที่ได้แยกตนจากชาวนีไฟและเรียกตนเองว่าชาวโซรัม, โดยมีชายผู้หนึ่งชื่อโซรัมนำไป—และขณะที่เขาออกไปในบรรดาคนเหล่านั้น, ดูเถิด, เขาถูกชนและถูกเหยียบ, แม้จนเขาตาย.
๖๐ และดังนั้นเราจึงเห็นจุดจบของเขาผู้ซึ่งได้บิดเบือนทางของพระเจ้า; และดังนั้นเราจึงเห็นว่ามารจะไม่ค้ำจุนลูก ๆ ของเขาในวันสุดท้าย, แต่จะลากคนเหล่านี้ลงสู่นรกอย่างรวดเร็ว.