พระคัมภีร์
๑ นีไฟ 17


บทที่ ๑๗

นีไฟได้รับพระบัญชาให้ต่อเรือ—พี่ ๆ ของท่านต่อต้านท่าน—ท่านตักเตือนพวกเขาโดยเล่าซ้ำถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการกระทำของพระผู้เป็นเจ้าต่ออิสราเอล—นีไฟเปี่ยมด้วยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า—พี่ ๆ ของท่านถูกห้ามมิให้แตะต้องท่าน, หาไม่แล้วพวกเขาจะเหี่ยวเฉาดังต้นอ้อแห้ง. ประมาณ ๕๙๒–๕๙๑ ปีก่อนคริสตกาล.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเราออกเดินทางไปในแดนทุรกันดารอีก; และเราเดินทางค่อนไปทางตะวันออกนับแต่เวลานั้น. และเราเดินทางและฟันฝ่าความทุกข์ยากมากมายตลอดแดนทุรกันดาร; และผู้หญิงของเราคลอดลูกในแดนทุรกันดาร.

และพรของพระเจ้าที่ประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่นัก, คือขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยเนื้อดิบในแดนทุรกันดาร, ผู้หญิงของเรามีน้ำนมให้ลูก ๆ ของพวกนางมาก, และแข็งแรง, แท้จริงแล้ว, ประหนึ่งชาย; และพวกนางเริ่มอดทนต่อการเดินทางของพวกนางโดยปราศจากการพร่ำบ่น.

และดังนั้นเราเห็นว่าพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าต้องเกิดสัมฤทธิผล. และหากเป็นไปว่าลูกหลานมนุษย์รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแล้วพระองค์ย่อมทรงบำรุงเลี้ยงพวกเขา, และเสริมสร้างพละกำลังแก่พวกเขา, และทรงจัดหาหนทางซึ่งโดยหนทางเหล่านั้นพวกเขาจะทำสำเร็จได้ในสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาพวกเขา; ดังนั้น, พระองค์ทรงจัดหาหนทางให้เราในเวลาที่เราพำนักในแดนทุรกันดาร.

และเราพำนักมาเป็นเวลาหลายปี, แท้จริงแล้ว, แม้ถึงแปดปีในแดนทุรกันดาร.

และเรามาถึงแผ่นดินซึ่งเราเรียกว่าอุดมมั่งคั่ง, เพราะแผ่นดินนั้นมีผลไม้มากและมีน้ำผึ้งป่าด้วย; และทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงเตรียมไว้เพื่อเราจะไม่ตาย. และเราเห็นทะเล, ซึ่งเราเรียกว่าอิรีแอนทัม, ซึ่ง, แปลว่า, ผืนน้ำกว้างใหญ่.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเราตั้งกระโจมของเราริมฝั่งทะเล; และทั้งที่เราทนรับความทุกข์และความลำบากมามาก, แท้จริงแล้ว, แม้มากจนกระทั่งเราเขียนเรื่องเหล่านั้นได้ไม่ครบถ้วน, เรายังเบิกบานยิ่งนักเมื่อเรามาถึงฝั่งทะเล; และเราเรียกสถานที่นั้นว่าอุดมมั่งคั่ง, เพราะผลไม้เป็นอันมากของสถานที่นั้น.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือหลังจากข้าพเจ้า, นีไฟ, อยู่ในแผ่นดินอุดมมั่งคั่งเป็นเวลาหลายวัน, สุรเสียงของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้า, มีความว่า : จงลุกขึ้น, และเจ้าจงไปที่ภูเขา. และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้าลุกขึ้นและขึ้นไปบนภูเขา, และร้องทูลต่อพระเจ้า.

และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้ารับสั่งแก่ข้าพเจ้า, มีความว่า : เจ้าจงต่อเรือ, ตามวิธีที่เราจะแสดงแก่เจ้า, เพื่อเราจะพาผู้คนของเจ้าข้ามผืนน้ำนี้ไป.

และข้าพเจ้าทูลว่า : ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพระองค์จะไปทางไหนเล่าข้าพระองค์จึงจะพบแร่สำหรับหลอม, เพื่อข้าพระองค์จะทำเครื่องมือต่อเรือตามวิธีที่พระองค์ทรงแสดงแก่ข้าพระองค์ ?

๑๐ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าควรไปหาแร่จากที่ใด, เพื่อข้าพเจ้าจะทำเครื่องมือ.

๑๑ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, ทำเครื่องเป่าลม, ซึ่งทำจากหนังสัตว์, เพื่อเป่าไฟ; และหลังจากข้าพเจ้าทำเครื่องเป่าลม, เพื่อข้าพเจ้าจะใช้มันเป่าไฟ, ข้าพเจ้าเอาหินสองก้อนมากระทบกันเพื่อข้าพเจ้าจะก่อไฟ.

๑๒ เพราะก่อนหน้านี้พระเจ้ามิทรงยอมให้เราก่อไฟมาก, ขณะที่เราเดินทางในแดนทุรกันดาร; เพราะพระองค์ตรัส : เราจะทำให้อาหารของเจ้านุ่ม, เพื่อเจ้าจะมิต้องหุงหาอาหาร;

๑๓ และเราจะเป็นความสว่างของเจ้าในแดนทุรกันดารด้วย; และเราจะเตรียมทางข้างหน้าเจ้า, หากเป็นไปว่าเจ้าจะรักษาบัญญัติของเรา; ดังนั้น, ตราบเท่าที่เจ้าจะรักษาบัญญัติของเราเราจะนำเจ้าไปสู่ดินแดนที่สัญญาไว้; และเจ้าจะรู้ว่าโดยเราที่นำเจ้าไป.

๑๔ แท้จริงแล้ว, และพระเจ้าตรัสด้วยว่า : หลังจากเจ้าไปถึงแผ่นดินที่สัญญาไว้แล้ว, เจ้าจะรู้ว่า, เรา, พระเจ้า, คือพระผู้เป็นเจ้า; และว่าเรา, พระเจ้า, ได้ปลดปล่อยเจ้าจากความพินาศ; แท้จริงแล้ว, ว่าเรานำเจ้าออกจากแผ่นดินแห่งเยรูซาเล็ม.

๑๕ ดังนั้น, ข้าพเจ้า, นีไฟ, ขวนขวายรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า, และข้าพเจ้าตักเตือนพี่ ๆ ข้าพเจ้าให้ซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียร.

๑๖ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้าทำเครื่องมือจากแร่ซึ่งข้าพเจ้าหลอมจากหิน.

๑๗ และเมื่อพี่ ๆ ข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังจะต่อเรือ, พวกเขาเริ่มพร่ำบ่นต่อต้านข้าพเจ้า, มีความว่า : น้องเราเป็นคนโง่, เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถต่อเรือได้; แท้จริงแล้ว, และเขาคิดด้วยว่าเขาสามารถข้ามผืนน้ำกว้างใหญ่นี้ไปได้.

๑๘ และดังนั้นพี่ ๆ ข้าพเจ้าต่อว่าข้าพเจ้า, และปรารถนาว่าพวกเขาจะไม่ทำงาน, เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าสามารถต่อเรือได้; ทั้งพวกเขาไม่เชื่อว่าข้าพเจ้ารับคำแนะนำจากพระเจ้าแล้ว.

๑๙ และบัดนี้เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, สลดใจยิ่งเพราะความแข็งกระด้างของใจพวกเขา; และบัดนี้เมื่อพวกเขาเห็นว่าข้าพเจ้าเริ่มสลดใจพวกเขาอิ่มเอมใจของพวกเขา, ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาเบิกบานเพราะความสลดใจของข้าพเจ้า, โดยกล่าวว่า : เรารู้ว่าเจ้าไม่สามารถต่อเรือได้, เพราะเรารู้ว่าเจ้าขาดวิจารณญาณ; ดังนั้น, เจ้าจะทำงานใหญ่เช่นนั้นให้สำเร็จไม่ได้.

๒๐ และเจ้าเป็นเหมือนบิดาเรา, ผู้ถูกจินตนาการอันโง่เขลาแห่งใจท่านชักนำไป; แท้จริงแล้ว, ท่านนำเราออกจากแผ่นดินแห่งเยรูซาเล็ม, และเราระหกระเหินในแดนทุรกันดารมาหลายปีนี้; และผู้หญิงของเราทำงานหนัก, โดยที่อุ้มท้อง; และพวกนางคลอดลูกในแดนทุรกันดารและทนทุกข์กับสิ่งทั้งปวง, นอกจากความตาย; และหากพวกนางตายก่อนที่พวกนางออกจากเยรูซาเล็มก็จะดีกว่าต้องมาทนความทุกข์ทรมานเหล่านี้.

๒๑ ดูเถิด, หลายปีมานี้เราทนทุกข์ในแดนทุรกันดาร, ซึ่งเป็นเวลาที่เราอาจเกษมสำราญอยู่กับทรัพย์สมบัติของเราและแผ่นดินแห่งมรดกของเรา; แท้จริงแล้ว, และเราอาจมีความสุข.

๒๒ และเรารู้ว่าผู้คนที่อยู่ในแผ่นดินแห่งเยรูซาเล็มเป็นคนชอบธรรม; เพราะพวกเขารักษากฎเกณฑ์และคำพิพากษาของพระเจ้า, และพระบัญญัติของพระองค์ทั้งหมด, ตามกฎของโมเสส; ดังนั้น, เรารู้ว่าพวกเขาเป็นคนชอบธรรม; และบิดาเราตัดสินพวกเขา, และนำเราออกมาเพราะเราสดับฟังคำท่าน; แท้จริงแล้ว, และน้องชายของเราก็เหมือนกับท่าน. และด้วยการกล่าวถ้อยในลักษณะนี้พี่ ๆ ข้าพเจ้าพร่ำบ่นและต่อว่าเรา.

๒๓ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, พูดกับพวกเขา, มีความว่า : พี่เชื่อหรือว่าบรรพบุรุษของเรา, ผู้เป็นลูกหลานของอิสราเอล, จะถูกนำไปพ้นเงื้อมมือชาวอียิปต์ได้หากพวกเขาไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้า ?

๒๔ แท้จริงแล้ว, พี่คิดหรือว่าพวกเขาจะถูกพาไปให้พ้นจากความเป็นทาส, หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบัญชาโมเสสให้ท่านพาพวกเขาไปให้พ้นจากความเป็นทาส ?

๒๕ บัดนี้พี่รู้ว่าลูกหลานของอิสราเอลอยู่ในความเป็นทาส; และพี่รู้ว่าพวกเขาต้องทำงานหนัก, อันเป็นความคับแค้นที่ต้องทน; ดังนั้น, พี่รู้ว่าจำเป็นต้องเป็นสิ่งดีสำหรับพวกเขา, ที่พวกเขาถูกนำไปพ้นจากความเป็นทาส.

๒๖ บัดนี้พี่รู้ว่าโมเสสได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ทำงานที่ยากเย็นนั้น; และพี่รู้ว่าโดยคำของท่านผืนน้ำในทะเลแดงแยกไปทางโน้นและทางนี้, และพวกเขาจึงผ่านมาได้ตลอดบนพื้นดินแห้ง.

๒๗ แต่พี่รู้ว่าชาวอียิปต์, ซึ่งเป็นกองทัพของฟาโรห์, จมน้ำตายในทะเลแดง.

๒๘ และพี่รู้ด้วยว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงพวกเขาด้วยมานาในแดนทุรกันดาร.

๒๙ แท้จริงแล้ว, และพี่รู้ด้วยว่า, โมเสส, ด้วยคำของท่านตามอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งอยู่ในท่าน, ตีศิลา, และน้ำไหลออกมา, เพื่อลูกหลานของอิสราเอลจะได้ดับความกระหายของพวกเขา.

๓๐ และทั้งที่พวกเขาถูกนำไป, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา, พระผู้ไถ่ของพวกเขา, เสด็จไปเบื้องหน้าพวกเขา, โดยทรงนำพวกเขาไปเวลากลางวันและประทานความสว่างให้พวกเขาเวลากลางคืน, และทรงกระทำสิ่งทั้งปวงอันสมควรที่มนุษย์จะพึงรับ, พวกเขายังทำใจของพวกเขาแข็งกระด้างและทำจิตใจของพวกเขามืดบอด, และสบประมาทโมเสสและพระผู้เป็นเจ้าองค์จริงและทรงพระชนม์อยู่.

๓๑ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือตามพระดำรัสของพระองค์พระองค์ทรงทำลายพวกเขา; และตามพระดำรัสของพระองค์พระองค์ทรงนำพวกเขา; และตามพระดำรัสของพระองค์พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งปวงเพื่อพวกเขา; และหาได้มีสิ่งใดดำเนินไปไม่นอกจากจะเป็นโดยพระดำรัสของพระองค์.

๓๒ และหลังจากพวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้วพระองค์ทรงทำให้พวกเขาเกรียงไกรจนถึงการขับไล่ลูกหลานของแผ่นดินออกไป, แท้จริงแล้ว, ถึงการทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปสู่ความพินาศ.

๓๓ และบัดนี้, พี่คิดหรือว่าลูกหลานของแผ่นดินนี้, ซึ่งอยู่ในแผ่นดินแห่งคำสัญญา, ซึ่งถูกบรรพบุรุษของเราขับออกไป, พี่คิดหรือว่าพวกเขาชอบธรรม ? ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวกับพี่, ไม่เลย.

๓๔ พี่คิดหรือว่าบรรพบุรุษของเราจะเลิศเลอกว่าพวกเขาหากพวกเขาชอบธรรม ? ข้าพเจ้ากล่าวกับพี่, ไม่เลย.

๓๕ ดูเถิด, พระเจ้าทรงถือว่าเนื้อหนังทั้งปวงเท่าเทียมกัน; เขาผู้ชอบธรรมย่อมเป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า. แต่ดูเถิด, คนพวกนี้ปฏิเสธพระวจนะทุกคำของพระผู้เป็นเจ้า, และพวกเขาสุกงอมอยู่ในความชั่วช้าสามานย์; และพระพิโรธสุดขีดของพระผู้เป็นเจ้าอยู่บนพวกเขาแล้ว; และพระเจ้าทรงสาปแช่งแผ่นดินเพื่อต่อต้านพวกเขา, และประทานพรแผ่นดินนั้นแก่บรรพบุรุษของเรา; แท้จริงแล้ว, พระองค์ทรงสาปแช่งแผ่นดินนั้นเพื่อต่อต้านพวกเขาจนถึงความพินาศของพวกเขา, และพระองค์ประทานพรแผ่นดินนั้นแก่บรรพบุรุษของเราเพื่อให้พวกเขามีพลังเหนือแผ่นดินนั้น.

๓๖ ดูเถิด, พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินโลกเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัย; และพระองค์ทรงสร้างลูก ๆ ของพระองค์เพื่อพวกเขาจะเป็นเจ้าของแผ่นดินโลก.

๓๗ และพระองค์ทรงยกประชาชาติที่ชอบธรรมประชาชาติหนึ่ง, และทรงทำลายประชาชาติของคนชั่วร้าย.

๓๘ และพระองค์ทรงนำคนชอบธรรมไปสู่ผืนแผ่นดินที่มีค่า, และคนชั่วร้ายพระองค์ทรงทำลาย, และทรงสาปแช่งแผ่นดินแก่พวกเขาเพราะพวกเขาเป็นเหตุ.

๓๙ พระองค์ทรงปกครองอยู่สูงในฟ้าสวรรค์, เพราะท้องฟ้าคือพระราชบัลลังก์ของพระองค์, และแผ่นดินโลกนี้คือที่รองพระบาทของพระองค์.

๔๐ และพระองค์ทรงรักผู้เลือกพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา. ดูเถิด, พระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของเรา, และพระองค์ทรงทำพันธสัญญากับพวกเขา, แท้จริงแล้ว, แม้อับราฮัม, อิสอัค, และยาโคบ; และพระองค์ทรงจำพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้; ดังนั้น, พระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินแห่งอียิปต์.

๔๑ และพระองค์ทรงตีสอนพวกเขาด้วยไม้ของพระองค์ในแดนทุรกันดาร; เพราะพวกเขาทำใจของตนแข็งกระด้าง, แม้ดังที่พี่ทำ; และพระเจ้าทรงตีสอนพวกเขาเพราะความชั่วช้าสามานย์ของพวกเขา. พระองค์ทรงส่งเหล่างูเพลิงเหินฟ้ามาในบรรดาพวกเขา; และหลังจากพวกเขาถูกกัดแล้วพระองค์ทรงเตรียมทางไว้เพื่อพวกเขาจะได้รับการรักษา; และงานซึ่งพวกเขาต้องทำคือมองดู; และเพราะความเรียบง่ายของทาง, หรือความง่ายของมัน, จึงมีคนตายเป็นอันมาก

๔๒ และพวกเขาทำใจของตนแข็งกระด้างเป็นครั้งคราว, และพวกเขาสบประมาทโมเสส, และพระผู้เป็นเจ้าด้วย; กระนั้นก็ตาม, พี่ยังรู้ว่าพระเดชานุภาพอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์นำพวกเขาออกมาสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญา.

๔๓ และบัดนี้, หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว, ก็ถึงเวลาที่พวกเขากลายเป็นคนชั่วร้าย, แท้จริงแล้ว, เกือบสุกงอม; และข้าพเจ้ารู้ว่าพวกเขาในวันเวลานี้ใกล้จะถูกทำลายแล้ว; เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าวันนั้นต้องมาถึงแน่นอนที่พวกเขาต้องถูกทำลาย, เว้นแต่เพียงไม่กี่คน, ซึ่งจะถูกนำไปสู่การเป็นเชลย.

๔๔ ดังนั้น, พระเจ้าจึงทรงบัญชาบิดาข้าพเจ้าว่าท่านควรออกไปในแดนทุรกันดาร; และชาวยิวหมายมั่นจะเอาชีวิตท่านด้วย; แท้จริงแล้ว, และพี่หมายมั่นจะเอาชีวิตท่านด้วย; ดังนั้น, พี่เป็นฆาตกรในใจพี่และพี่เป็นเหมือนพวกเขา.

๔๕ พี่ว่องไวในการทำความชั่วช้าสามานย์แต่เชื่องช้าในการระลึกถึงพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของพี่. พี่เห็นเทพแล้ว, และท่านพูดกับพี่; แท้จริงแล้ว, พี่ได้ยินเสียงท่านเป็นครั้งคราว; และท่านพูดกับพี่ด้วยเสียงสงบแผ่วเบา, แต่ใจพี่เกินกว่าจะรู้สึก, พี่จึงสัมผัสพระวจนะของพระองค์ไม่ได้; ดังนั้น, พระองค์จึงรับสั่งกับพี่ด้วยเสียงของฟ้าร้อง, ซึ่งทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนประหนึ่งจะแยกออกจากกัน.

๔๖ และพี่รู้ด้วยว่าโดยเดชานุภาพแห่งพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์พระองค์ทรงสามารถทำให้แผ่นดินโลกสูญสิ้นไป; แท้จริงแล้ว, และพี่รู้ว่าโดยพระวจนะของพระองค์พระองค์ทรงทำให้ที่ขรุขระทั้งหลายราบเรียบลงได้, และทำให้ที่ราบเรียบทั้งหลายพังทลายได้. โอ้, แล้ว, เหตุใดเล่า, พี่จึงแข็งกระด้างเช่นนั้นในใจพี่ ?

๔๗ ดูเถิด, จิตวิญญาณข้าพเจ้าฉีกขาดด้วยความตรอมใจเพราะพี่, และใจข้าพเจ้าเจ็บปวด; ข้าพเจ้ากลัวเกลือกพี่จะถูกขับออกตลอดกาล. ดูเถิด, ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยพระวิญญาณแห่งพระผู้เป็นเจ้า, ถึงขนาดที่ร่างข้าพเจ้าไร้เรี่ยวแรง.

๔๘ และบัดนี้เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเมื่อข้าพเจ้าพูดคำเหล่านี้พวกเขาโกรธข้าพเจ้า, และปรารถนาจะโยนข้าพเจ้าลงไปในห้วงลึกของทะเล; และเมื่อพวกเขาจะเข้ามาจับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขา, มีความว่า : ในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ, ข้าพเจ้าสั่งพี่ว่าอย่าแตะต้องข้าพเจ้า, เพราะข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า, แม้จนจะเผาไหม้เนื้อหนังข้าพเจ้า; และผู้ใดที่เอามือมาถูกตัวข้าพเจ้าจะเหี่ยวเฉาดังต้นอ้อแห้ง; และเขาจะสูญสิ้นไปต่อหน้าเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า, เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงทัณฑ์เขา.

๔๙ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, กล่าวแก่พวกเขาว่าพวกเขาต้องไม่พร่ำบ่นต่อต้านบิดาพวกเขาอีกต่อไป; ทั้งพวกเขาจะไม่ปฏิเสธงานที่ข้าพเจ้าให้ทำ, เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะต้องต่อเรือ.

๕๐ และข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกเขา : หากพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าทำสิ่งทั้งปวงข้าพเจ้าสามารถทำสิ่งทั้งปวงนั้นได้. หากพระองค์จะทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ากล่าวแก่น้ำนี้, เจ้าจงเป็นแผ่นดิน, มันจะเป็นแผ่นดิน; และหากข้าพเจ้าจะกล่าวเช่นนี้, มันจะเป็นไปเช่นนั้น.

๕๑ และบัดนี้, หากพระเจ้าทรงมีเดชานุภาพยิ่งใหญ่เช่นนั้น, และทรงกระทำปาฏิหาริย์หลายอย่างในบรรดาลูกหลานมนุษย์, แล้วไฉนพระองค์จะทรงสอนข้าพเจ้า, ให้ข้าพเจ้าต่อเรือไม่ได้เล่า ?

๕๒ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, กล่าวหลายเรื่องแก่พี่ ๆ ข้าพเจ้า, ถึงขนาดที่พวกเขายอมจำนนและไม่สามารถโต้แย้งข้าพเจ้าได้; ทั้งพวกเขาไม่กล้าจับข้าพเจ้าหรือแตะต้องข้าพเจ้าด้วยนิ้วมือพวกเขา, แม้เป็นเวลาหลายวัน. บัดนี้พวกเขาไม่กล้าทำอย่างนี้เกลือกพวกเขาจะเหี่ยวเฉาไปต่อหน้าข้าพเจ้า, พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าทรงพลังเช่นนั้น; และได้ทรงกระทำแก่พวกเขาดังนั้น.

๕๓ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้า : จงเหยียดมือของเจ้าออกไปยังพี่ ๆ เจ้าอีก, และพวกเขาจะไม่เหี่ยวเฉาไปต่อหน้าเจ้า, แต่เราจะทำให้พวกเขาสะดุ้ง, พระเจ้าตรัส, และเราจะทำการนี้, เพื่อพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา.

๕๔ และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้าเหยียดมือข้าพเจ้าออกไปยังพี่ ๆ ข้าพเจ้า, และพวกเขาไม่เหี่ยวเฉาไปต่อหน้าข้าพเจ้า; แต่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาสั่น, แม้ดังพระดำรัสที่พระองค์ได้รับสั่งไว้.

๕๕ และบัดนี้, พวกเขากล่าว : เรารู้แน่ชัดว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเจ้า, เพราะเรารู้ว่าเป็นเดชานุภาพของพระเจ้าซึ่งทำให้เราสั่น. และพวกเขาทรุดตัวลงต่อหน้าข้าพเจ้า, และกำลังจะนมัสการข้าพเจ้า, แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พวกเขาทำ, โดยกล่าวว่า : ข้าพเจ้าเป็นน้องของพี่, แท้จริงแล้ว, แม้น้องชายของพี่; ดังนั้น, จงนมัสการพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของพี่, และให้เกียรติบิดาของพี่และมารดาของพี่, เพื่อวันเวลาของพี่จะยืนยาวในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของพี่จะประทานให้พี่.